สภาพการณ์ของการลงทุนหุ้นไทยในช่วงปี พ.ศ.2551 เรียกได้ว่าเกิดวิกฤติตามสหรัฐอเมริกา เป็นวิกฤติที่เกิดจากหนี้สูญจากการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ เรื่องนี้ทำให้หุ้นไทยพื้นฐานดีต้องสั่นคลอน ราคาตกจนทำให้นักลงทุนมองว่าพื้นฐานของกิจการเปลี่ยนไปแล้ว ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เขียนบทความภายในเล่มได้มาให้ข้อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงประเด็นต่างๆที่เป็นประเด็นในช่วงขณะนั้น เนื้อหาภายในเล่ม40 VS 5151 VS 19Moment of Truthซื้อหุ้นยามวิกฤติบทเรียนจากวิกฤติวิกฤติหรือโอกาสแล้วมันก็จะผ่านไปอุตสาหกรรมยามวิกฤติเมื่อตลาดหุ้นเหงาPerfect Strom – Perfect StockCash is Kingหมีหุ้นถูกเรื้อรัง DCAPSRSun Rise – Sun Setคุณดาวลอร์ดเคนMr. Growth Stockใครๆก็อยากเป็นวอร์เรน บัฟเฟตต์Peak Oil ดอยน้ำมันPeak Energies ดอยพลังงานSuper Investorเก็บก้นบุหรี่ของขึ้นของขึ้น 2คุณภาพของกิจการจินตนาการกับการลงทุนเจ้าของ VS นักลงทุนดวงโหร ตลท.ทอง ทอง ทองนักลงทุนขาโจ๋บริษัทซื้อหุ้นคืนผลตอบแทน VS ความเสี่ยงวิธีคำนวณผลตอบแทนโภคภัณฑ์ร้อนๆลูกค้าหอเกียรติยศหุ้นแม่-ลูกอย่าตื่นเต้นอ้วน-ผอม-สูงสบู่ทุกก้อนเข็มทิศลงทุนแสงที่ปลายอุโมงค์ ความประทับใจที่ได้เรียนรู้ภายในเล่มจากมุมมองครีเอเตอร์ ได้เรียนรู้ว่าบทเรียนช่วงวิกฤติเศรษฐกิจกับภาวะตลาดหุ้น มีประเด็นใดที่เราต้องตระหนักบ้าง1.ภาวะวิกฤติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้แบบไม่ทันตั้งตัว มันคาดการณ์ไม่ได้ แต่มันย่อมเกิดขึ้นอยู่เสมอ2.วิกฤติตลาดหุ้นเกิดได้ทั้งตอนตลาดเฟื่องฟูหรือซบเซา หรือตอนที่ราคาหหุ้นแพงเป็นฟองสบู่ คือมีค่า PE/PB สูงมาก3.หุ้นที่เราซื้อ เราคิดว่ามี Margin of Safety สูงพอแล้ว พอเกิดวิกฤติราคาหุ้นราคากลับตกลงมาอีก ดร.นิเวศน์ จึงให้ความสำคัญกับ Margin of Safety ที่เกิดจากความแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานของบริษัท มากกว่าจากราคาหรือความถูกของหุ้น4.วิกฤติบางครั้งก็ขึ้นอยู่กับความเป็นไปของโลก เราจะโฟกัสสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศอย่างเดียวไม่ได้ รวมทั้งต้องคำนึงถึงความเสี่ยงให้มากกว่าผลตอบแทนด้วย ตามกฎของบัฟเฟตต์ข้อที่ 1 ว่า จงอย่าขาดทุน ได้เรียนรู้แนวทางการลงทุนของบัฟเฟตต์ว่า...1.เราต้องกล้าในยามที่คนอื่นกลัว ในช่วงวิกฤติตลาดหุ้นอาจเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำเงินได้ ถ้าเราทำได้ถูกต้อง2.จงอย่าลงทุนในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ เราไม่ใช่แค่ซื้อหุ้นที่ราคาตกลงมา แต่เราซื้อเพราะเข้าใจรู้จักธุรกิจนั้นเป็นอย่างดี และรู้ว่าราคานั้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก3.อย่าไปรับมีดที่กำลังร่วงลงมา จนกว่าเราจะเข้าใจและจัดการกับความเสี่ยงได้ ได้เรียนรู้ว่าข่าวร้ายที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นแบ่งออกเป็น 3 แบบ1.ข่าวร้ายจากภาพรวมของเศรษฐกิจหรือตลาด ทำให้ตลาดตกใจ เกิดการขายหุ้นทั้งตลาด ภาวะการเงินขาดสมดุล เช่น การเงินตึงตัว เงินเฟ้อปรับตัวสูง เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง2.ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรม ถ้าบริษัทแข็งแกร่งจริงถึงจะฟื้นกลับมาได้ นักลงทุนต้องวิเคราะห์ว่าบริษัทไหนถูกกระทบน้อย และกำไรแค่ไหนเมื่อบริษัทฟื้นตัว3.ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวบริษัทเอง เป็นสิ่งที่บริษัททำผิดพลาดเอง นักลงทุนต้องดูว่าเหตุการณ์นั้นไม่ได้กระทบกับการทำกำไรของธุรกิจ ถึงจะเข้าไปลงทุนได้ ได้เรียนรู้ว่าเงินสดคือพระราชา ดั่งสำนวนที่ว่า Cash is King เพราะในยามวิกฤติทุกธุรกิจจำเป็นต้องใช้เงินสด1.บริษัทที่มีเงินสดมากจะไม่ล้มในยามที่ธุรกิจซบเซาอย่างหนัก2.บริษัทที่มีเงินสดมาก สามารถซื้อของถูกที่มีคนเสนอขายกันเต็มไปหมดในยามวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง โรงงาน หุ้นของกิจการต่างๆทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์3.บริษัทที่มีเงินสดล้นเหลือสามารถจ่ายปันผลตามปกติ หรือมากกว่าปกติถ้าบริษัทลดการขยายตัว4.บริษัทสามารถซื้อหุ้นคืนได้ เมื่อหุ้นของบริษัทตัวเองมีราคาลดต่ำกว่าพื้นฐาน ได้เรียนรู้ว่าถ้าตลาดหุ้นตกเท่ากับหรือต่ำกว่า 10% เรียกว่า หุ้นตกธรรมดา ถ้าหุ้นตกเกิน 10% แต่ไม่ถึง 20% เรียกว่า หุ้นปรับตัว (Correction) และถ้าตลาดหุ้นตก 20% ขึ้นไป เรียกว่า ตลาดหมี (Bear Market) ได้เรียนรู้ว่าคุณสมบัติหุ้นถูกเรื้อรัง หรือหุ้นที่ราคาไม่ค่อยขยับไปไหน มักเป็นดังนี้1.เป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่น่าสนใจ หรือกลุ่มตะวันตกดิน โตช้าหรืออิ่มตัวแล้ว2.แม้ผลการดำเนินงานดี กำไรก็สม่ำเสมอ ผลการดำเนินงานคาดการณ์ได้ ถ้าหวังลงทุนเพื่อเงินปันผลเป็นหลักก็ถือว่าน่าสนใจ3.ฐานะการเงินของบริษัทในกลุ่มนี้ค่อนข้างมั่นคง หนี้สินมีน้อยหรือแทบไม่มีเลย4.ค่า PE หรือราคาหุ้นเทียบกับกำไรต่อหุ้น ค่อนข้างต่ำ5.บริษัทมีการบริหารที่ดี แต่นโยบายในการจัดสรรเงินที่บริษัทหามาได้ มักไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ผู้ถือหุ้นรายย่อย แต่เป็นประโยชน์กับผู้บริหารมากกว่า ได้เรียนรู้ว่าความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน หรือ DCA (Durable Competitive Advantage) คือการที่บริษัททำกำไรได้สูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน ด้วยโครงสร้างทางธุรกิจของบริษัท และมีกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงกว่า 15% ต่อปี ติดต่อกัน 5 ปีขึ้นไป และต้องมีรายละเอียดดังนี้1.บริษัทมีทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ อย่างค่าความนิยมในยี่ห้อ2.สินค้าหรือบริการมีต้นทุนยากที่จะเปลี่ยนผู้ขายหรือผู้ให้บริการ (Switching Cost สูง)3.บริษัทมีเครือข่ายลูกค้าใหญ่กว่าคู่แข่งมาก (Network Effect)4.บริษัทมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิต และนี่คือเกร็ดความรู้ที่เซียนหุ้นใช้ลงทุนหุ้นในยามวิกฤติที่ตลาดหุ้นตกหนัก ทำให้เราเข้าใจมุมมองที่ถูกต้อง เพราะภายภาคหน้าหากเกิดวิกฤติแบบนี้อีกเราจะได้รับมือได้ถูกต้อง วิเคราะห์เป็น ไม่ด่วนตกใจรีบเทขายหุ้นทิ้งไปก่อน เพราะหากเป็นหุ้นคุณภาพดี พื้นฐานดี เราอาจเปลี่ยนความคิดตัดสินใจอีกอย่างหนึ่งก็เป็นได้ ครีเอเตอร์ได้เรียนรู้แนวทางการลงทุนดังกล่าวแล้ว แน่นอนว่าความสำคัญของบริบทและประสบการณ์จะหล่อหลอมให้เราลงทุนเป็น ลงทุนอย่างถูกต้องตามความเป็นไปของสังคม ทั้งนี้ วิกฤติเศรษฐกิจไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ดังนั้น ความเข้าใจในการลงทุนหุ้นในช่วงวิกฤติจึงเป็นสิ่งสำคัญ เครดิตภาพภาพปก โดย freepik จาก freepik.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย freepik จาก freepik.com ภาพที่ 4 โดย rawpixel.com จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ เด็กวัดดอน ชีวิต ความฝัน และการลงทุน โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรรีวิวหนังสือ ลงทุนเพื่อชีวิตด้วยหุ้น โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรรีวิวหนังสือ เซียนหุ้นมือทอง โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรรีวิวหนังสือ SUPER STOCK มหัศจรรย์ของหุ้น VI โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรรีวิวหนังสือ ลงทุนหุ้นอย่างสบายใจ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !