ฝึกงานช่วงโควิด ติดไม่ติด! เราเคยเล่าช่วงตอนที่อยู่ปี 1-2 ไปแล้ว วันนี้จะมาเล่าช่วงปี 3-4 ที่ต้องมีการทำLab และการฝึกงานในสถานที่จริง แล้วในสถานการณ์แบบนี้จะฝึกกันยังไง ตามอ่านได้เลยค่ะ! ตอนปี 3 ขอแยกเป็นเทอม 1 ก่อน เพราะตอนนั้นยังไม่มีโควิด-19 เรายังสามารถไปเรียนได้ตามปกติ แต่การเรียนคือถือว่าเรียนLab เกือบจะทั้งหมด มีทั้งในส่วนแบคทีเรีย ไวรัส ธนาคารเลือด โลหิตวิทยา เคมีคลินิก ภาษาอังกฤษ พยาธิและโปรโตซัว พิษวิทยา และภูมิคุ้มกันวิทยา ถือว่าเหนื่อยกันคนละอย่างกับเวลานั่งเรียนในห้องเลยค่ะ ในห้องเราจะเหนื่อยกับการยัดเนื้อหาเข้าสมอง เมื่อยกับการนั่งเป็นชั่วโมง แต่พอเป็นการทำในห้องLabจริงๆ เหนื่อยกว่าเดิม 10 ไปเลยค่ะ เพราะเราจะต้องเค้นทุกอย่างที่เราเรียนในห้องออกมาใช้ และการผลของการทดสอบหรือวิเคราะห์จากสิ่งส่งตรวจจริงๆนั้น ไม่ได้ตรงกับทฤษฎีเสมอไป เราต้องหาสาเหตุของมัน และรีบแก้ไขให้เป็นค่าที่ได้มาอย่างถูกต้อง เพราะไปทำงานจริงๆ หากเราออกผลผิดมีผลต่อชีวิตของคนไข้ได้เลย จากที่ได้เจาะเลือดครั้งเดียว พวกเราจะได้ฝึกมือในการเจาะทุกอาทิตย์ ฝึกปรือไปเลยค่ะ จนกลายเป็นว่าเวลาเห็นเพื่อน หรือคนอื่นๆ แม้กระทั่งคนในบ้าน สิ่งแรกที่มองคือเส้นเลือดที่ข้อพับแขน แล้วก็จับดูว่าเส้นอยู่ไหน เจาะยากเจาะง่าย เป็นโรคจิตไปพักใหญ่เลยค่ะช่วงนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า ส่วนการทำlab เราแยกเป็นส่วนของที่ใช้กล้องจุลทรรศน์ และไม่ใช้ เพราะว่าหน้าที่หลักของอาชีพนักเทคนิคการแพทย์ภายในโรงพยาบาล คือการส่องดูความผิดปกติภายใต้กล้องจุลทรรศน์ในเลือด และสารคัดหลั่งตามๆ เช่นการดูเซลล์มะเร็ง ดูปริมาณและขนาดเม็ดเลือดแดง ดูผลึกตะกอนในปัสสาวะ ดูพยาธิและโปรโตซัวในอุจจาระ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ต้องฝึกดูบ่อยๆ และจำรูปร่างลักษณะดีๆเลยค่ะ พาร์ทของที่ไม่ใช้กล้องจุลทรรศน์ จะเป็นส่วนที่ใช้เครื่องอัตโนมัติวิเคราะห์ หรือเป็นใช้แถบทดสอบตรวจหาสารต่างๆในร่างกาย เช่น สารอิเล็กโทรไลต์ในเลือด ยาเสพติดในปัสสาวะ เลือดในอุจจาระ ฯลฯ แต่ในตอนเรียนเราจะใช้เป็นการทำแบบ manual ใช้วิธีการดั้งเดิมในการหาค่าต่างๆ เพื่อที่เข้าใจหลักการของการทดสอบ และสามารถพัฒนาเอาไปผลิตใช้เป็นเครื่องอัตโนมัติได้ค่ะ เปิดเอกสารเอง ลงมือเอง ออกผลเอง สุดปัง! เข้าช่วงเทอม 2 ตอนนี้นี่แหละค่ะที่เข้าสู่โควิด-19 ไม่ได้ทำLab เป็นการเรียนผ่านออนไลน์หมด ช่วงแรกคือลำบากมาก เพราะว่าเป็นช่วงที่ต้องพัฒนาฝีมือการทำLabมากๆ เตรียมพร้อมก่อนไปฝึกงาน ทุกอย่างเหมือนกลับไปเริ่มหนึ่งใหม่เลย พูดตามตรงว่าท้อมาก เพราะสภาพแวดล้อมเอย เอกสารการเรียนเอย มันไม่เอื้อต่อการทำความเข้าใจได้เลย แต่พอเรียนนานไป คุ้นชินกับมันไป ก็ผ่านพ้นมันไปได้ด้วยดีค่ะ ข้อดีของการเรียนออนไลน์ คือเราเรียนตอนไหนก็ได้ ในเวลาเรียนเราสามารถอัดหน้าจอไว้ และพอเราอยากเรียนก็สามารถกลับมาย้อนได้ (ไม่อยากแนะนำเท่าไหร่ เพราะว่ามาเรียนย้อนเหนื่อยกว่าเรียนในห้องอีกค่ะ แต่เราชอบหลับในห้อง ก็ต้องใช้เป็นวิธีนี้สู้ต่อไปค่ะ แหะๆ) ส่วนการทำLab เป็นการทำทิพย์ไปก่อน แกว่งลม จินตนาการภาพวนไปค่ะตอนนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า อาจารย์น่ารักมาก เขาพยายามที่จะหาโปรแกรม หาเกมส์มาเล่นให้เราเห็นภาพ เข้าใจแทนการทำLabจริงๆ จนถึงช่วงหลังเฟส 1 ที่ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ทางคณะจึงอาศัยช่วงเวลานั้นให้นักศึกษาเข้าคณะ ภายในหนึ่งเดือนทำLabทุกวันแบบ social-distancing อัดอย่างจัดเต็มก่อนจะกลับมาเรียนออนไลน์ต่อ เหนื่อย 100 เท่าเลยค่ะ เพราะว่าต้องรีบทำ รีบยัดวิชาเพื่อให้สามารถทำได้ทุกอย่างก่อนไปฝึกงานจริง แต่ทำให้ฝึกคล่อง ถือว่าโปรไปชั่วขณะ เช่น สามารถทำการทดสอบ 4 อย่างไปพร้อมกัน และเสร็จพร้อมกันได้ (อะเมซิ่งตัวเองมากตอนนั้น) มีกิจกรรมรับบริจาคเลือดด้วย เพื่อเพิ่มผู้บริจาคและช่วยเหลือผู้ป่วยในสถานการณ์โควิด-19 ในโครงการ "เติมรักให้เต็มยูนิต ต่อชีวิตด้วยโลหิตคุณ ครั้งที่ 4" แล้วก็เรียนออนไลน์ สอบออนไลน์จนจบเทอมไปค่ะ ของเรามีการทำภาคนิพนธ์จบด้วย เพราะว่าเรามีการทดลองที่จะต้องใช้ของในห้องปฏิบัติการก็เลยต้องเข้าคณะไปทำเสาร์-อาทิตย์ หรือหลังเรียนเสร็จตอนเย็นนั่นเอง (ตอนนั้นคือเหนื่อยมาก ไปทำLabทีคือ 6 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำเลยค่ะ) มีคำแนะนำการบริจาคเลือดในเพจ FACEBOOK "เติมรักให้เต็มยูนิต ต่อชีวิตด้วยโลหิตคุณ" เข้าช่วงปี 4 ในเทอม 1 ก็ยังเป็นเรียนเหมือนเดิมแต่จะเป็นการเอากรณีศึกษาจริงๆมาให้เราได้ discussion กัน วิธีการเตรียมสิ่งส่งตรวจ การวิเคราะห์ การแก้ปัญหา สาเหตุของค่าที่ผลที่ได้ ผลที่ได้ในแต่ละการทดสอบมีความสอดคล้องกันหรือไม่ อย่างไร เป็นการนำความรู้ที่เราเรียนทั้งหมดมาขมวดเป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน เชื่อมกันเป็นระบบ ฝึกให้คิดเป็นเหตุเป็นผล เป็นตรรกะที่ทำจริง เกิดขึ้นจริง และก็มาถึงช่วงฝึกงาน! ของเราฝึกทั้งหมด 3 เดือน โชคดีที่ว่าตอนฝึกงาน ไม่มีการเรียกตัวกลับมหาวิทยาลัยก่อนเวลา เพราะในช่วงที่ระบาดใหม่ๆ พี่ปีก่อนหน้า โดนเรียกตัวกลับก่อน ของเราเป็นอารมณ์ที่ว่าโควิดมาเหรอ มาเลยค่ะ ไม่กลัว ป้องกันตัวเองพร้อมสุดๆ! พวกเราเซฟตัวเองกันมากๆ ไม่ว่าจะหน้ากากอนามัย ถุงมือ แอลกอฮอล์ ขนาดไปเจาะเลือดคนไข้ ก็มีที่กั้นพลาสติก และให้คนไข้ยื่นแขนมาอย่างเดียว เช็ดทำความสะอาดทุกครั้งหลังจบคนไข้แต่ละคน จนพี่ๆยังแซวเลยว่า โควิดไม่กล้าเกาะเราแน่ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า แล้วก็ฝึกงานเราจะไม่ค่อยได้ทำแบบ manual มาก เพราะว่าส่วนหนึ่งทำในกรุงเทพฯ มีเครื่องอัตโนมัติที่คอยช่วยลดเรื่องเวลา และความผิดพลาดของคนได้ แต่จะไปหนักเรื่องตอนผลออกมา เราต้องตรวจสอบว่าค่าถูกต้อง ไม่มีผิดพลาดที่เกิดจากเครื่อง และค่าที่ออกมาน่าเชื่อถือจริงๆ ทำให้ยากในส่วนนี้ ซึ่งจะมีพี่ๆที่คอยดูแลตอนฝึกงานคอยสอน คอยชี้แนะเราตลอด บางอย่างที่ไม่ได้เจอตอนเรียนก็ได้มาเจอในตอนฝึกงาน เผลอๆเจอมากกว่าเดิมด้วยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า และฝึกงานยังฝึกทักษะเรื่องการทำงานกับคนด้วย การปฏิสัมพันธ์กับคนไข้ กับบุคลากรอื่นๆ การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ ต้องได้ลองทำถึงจะรู้จริงๆ เราชอบประสบการณ์ฝึกงานมากๆเลยค่ะ ประทับใจมากถึงจะผ่านมาเป็นเดือนแล้วก็ตาม เอาสิ่งส่งตรวจมาเพาะเชื้อ อะโห! ขึ้นเต็มเลย ไหนเอามาทดสอบดูซิ ว่าเป็นเชื้ออะไรกันแน่ ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ คนป่วยเจออะไรในเลือด หรืออุจจาระบ้างนะ หลังจากฝึกงาน ยังไม่จบนะคะ เพราะเราต้องมีการสอบใบประกอบวิชาชีพเพื่อเป็นการรับรองว่าเราได้ผ่านการอบรม และมีความรู้มากพอที่จะประกอบอาชีพเทคนิคการแพทย์ได้ ตอนนี้เราก็อ่านหนังสือเตรียมสอบใบประกอบในปีนี้ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ใครอยากแชร์ประสบการณ์การฝึกงาน ไม่ว่าจะในต่างจังหวัดหรือในกรุงเทพฯ สามารถพิมพ์พูดคุยกันได้เลยนะคะ สำหรับน้องๆที่สนใจเทคนิคการแพทย์ พี่ยินดีต้องรับทุกคนเลยนะคะ เป็นคณะและอาชีพที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร เพราะทุกอาชีพมีความสำคัญหมด หากแพทย์ขาดนักเทคนิคการแพทย์ไป ไม่มีผลเลือด ผลตรวจ แพทย์จะวินิจฉัยโรคที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้ยังไงล่ะ จริงไหมคะ สู้ๆนะคะทุกคน ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและเป็นกำลังใจให้นะคะ ภาพหน้าปก Freepik ภาพทำการทดลองในห้องปฏิบัติการ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ================ ตามติดบทความดีๆ เทรนด์โดนๆ และอัปเดตหนังพร้อมกับซีรีส์สุดปังของคุณได้แล้วที่ แอปทรูไอดีคลิกเลย >> TrueID App << ฟรี