ปกติตัวเราเองนั้นจะเป็นสมาชิกกลุ่มแม่และเด็กที่มีอยู่ใน Facebook หลายกลุ่ม เนื่องจากเราก็เป็นคุณแม่คนหนึ่งซึ่งเพิ่งคลอดลูกมาได้ 6 เดือนกว่า ๆ และส่วนใหญ่เราจะเห็นโพสของคุณแม่ใกล้คลอดชอบสอบถามว่าการผ่าตัดคลอดแบบบล็อกหลังนั้นน่ากลัวหรือเจ็บไหม ในส่วนของตัวเราก็ผ่าตัดคลอดแบบบล็อกหลังเลยอยากเอาประสบการณ์มาเล่าให้หลาย ๆ คนที่สนใจได้ลองอ่านกันดู เพราะเราผ่าตัดมาถึง 3 ครั้งด้วยกันตอนที่ผ่าตัดครั้งที่ 3 เลยไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไหร่กับการเตรียมตัวผ่าตัดและแน่นอนว่าเราเคยผ่าตัดมาแล้วร่างกายเราถึงฟื้นตัวเร็วมาก คุณแม่ที่เพิ่งผ่าคลอดวันเดียวกันกับเราส่วนใหญ่ต่างพากันสนใจเรามากเพราะว่าเราฟื้นตัวเร็วกว่าคนอื่น ๆ หลาย ๆ คนที่ยังคงนอนติดเตียงและมีอาการปวดแผลจนไม่อยากจะพยายามลุกขึ้นมาเดินกันเลย การผ่าตัดของเราครั้งแรกผ่าตัดคลอดลูกซึ่งครั้งแรกในการผ่าตัดคลอดลูกคือไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไปเลย เพราะหมอนัดมาตรวจตามปกติเพราะใกล้กำหนดคลอดแล้วแต่ไม่มีอาการใด ๆ ทั้งสิ้น หลังจากที่หมอตรงท้องเรียบร้อยแล้วหมอถามเลยว่าจะฉีดยาเร่งคลอดไหมหรือว่าจะผ่าคลอดเลย ความที่เราอุ้มท้องมานานเราอยากเห็นหน้าลูกแล้วจึงตัดสินใจผ่าคลอดเลย และวันนั้นเราก็ต้องเข้าไปนอนรอคิวผ่าคลอดก่อนถึงเวลาที่หมอนัดผ่าคลอด จะมีพยาบาลมาเช็คร่างกายเราและทำความสะอาดร่างกายเราเจาะเลือดตรวจและตรวจฮอร์โมนเราจากปัสสาวะเรา หลังจากผ่านขั้นตอนการตรวจทุกอย่างแล้วเราก็ถูกเข็นมานอนรอในห้องรอคลอด ซึ่งแน่นอนว่าเต็มไปด้วยคุณแม่ที่รอคลอดจำนวนมากแต่ละคนนอนร้องด้วยความเจ็บปวดเรารู้สึกตื่นเต้นมากแต่พยายามข่มใจให้นิ่งเข้าไว้หลังจากถึงเวลาที่ต้องเข้าผ่าตัดแล้วบุรุษพยาบาลจะมาเข็นเราเข้าไปห้องผ่าตัด นาทีแรกที่มองเห็นภายในห้องผ่าตัดคือใจหายและกลัวมาก เราถูกย้ายจากรถเข็นคนไข้ให้ไปนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดและต้องนอนกางแขนออกเพื่อที่จะใส่สายน้ำเกลือ สายวัดความดัน สายวัดคลื่นหัวใจ และมีฉากกั้นหน้าเราไว้ไม่ให้เราเห็นตอนหมอกำลังผ่าตัด หลังจากนั้นจะมีพยาบาลมาแจ้งให้เรานอนตะแคงข้างและงอเข่าขึ้นให้ตัวงอได้มากที่สุด เพื่อทำการบล็อกหลังเราด้วยการฉีดยาเข้ากระดูสันหลังเรานั้นเองจากนั้นพยาบาลก็จะถามเราว่ารู้สึกชาไหมชาในระดับไหน คือมันชาเร็วมากและทำให้เรารู้สึกว่าท่อนล่างเราไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลย พอเราชาแล้วไม่รู้สึกอะไรแล้วหมอก็จัดการผ่าตัดเราทันทีพยาบาลจะคอยดูอาการเราและคอยถามเราตลอดว่าเจ็บไหม รู้สึกเวียนหัวไหม จะอ้วกไหม เอาจริง ๆ คือหนาวและกลัวมากกว่า หลังจากหมอจัดการผ่าตัดไปประมาณ 30 นาทีหมอก็กดตรงใต้ราวนมเราคือกดแรงมากจนเราหายใจไม่ออกเริ่มสายหน้าไปมาและน้ำตาไหล พยาบาลจึงรีบเอาออกซิเจนมาใส่ให้เรา หลังจากที่หมอกดตรงใต้ราวนมเราไม่นานเราก็ได้ยินเสียงลูกน้องของเราร้องไห้เสียงดังมาก น้ำตาเรายิ่งไหลคือเราดีใจไม่ได้เจ็บอะไรแล้วแต่เสียดายเราไม่ได้เห็นลูกพยาบาลอุ้มเขามาและจับที่นิ้วเราเท่านั้นแล้วก็เอาเขาไป จากนั้นหมอก็ทำการเย็บแผลเมื่อทุกอย่างเสร็จแล้วเราก็จะถูกเข็นมาไว้ห้องรอดูอาการประมาณ 1 ชั่วโมง หากเราไม่มีอาการแทรกซ้อนใด ๆ ก็จะมีบุรุษพยาบาลมาเข็นเราไปยังห้องพักฟื้น รอจนเช้ากว่าญาติจะมาเยี่ยมและกว่าพยาบาลจะเอาลูกมาให้เราและเริ่มเจ็บแผลผ่าตัดมากขยับตัวแล้วมันเจ็บจนเหมือนจะเป็นลมเลย แต่ก็ต้องพยายามขยับตัวและต้องลุกเดินด้วยตัวเองให้ได้เพื่อไม่ให้แผลเป็นผังผืดและจะยิ่งทำให้เจ็บมากยิ่งขึ้น ประสบการณ์การผ่าคลอดลูกคนแรกอาจจะดูน่ากลัวแต่ความจริงไม่น่ากลัวอะไรมาก เพียงแต่เราไม่เคยผ่าตัดใหญ่ไม่เคยเข้าห้องผ่าตัดมันเลยทำให้เรากลัวและคิดอะไรต่าง ๆ เกินความจริงไปหน่อยหลังจากผ่าตัดลูกคนแรกประมาณ 7 ปีเราต้องผ่าตัดอีกครั้งแต่ไม่ได้ผ่าคลอดลูก เราต้องผ่าตัดรังไข่เพราะเราเป็นก้อนเนื้อที่รังไข่ข้างซ้าย ซึ่งการผ่าตัดผ่าที่แผลผ่าตัดเดิมที่เคยผ่าตัดคลอดลูกแต่การผ่าตัดครั้งนี้ก็ฉุกเฉินไม่ต่างกันกับการผ่าตัดคลอดลูกคนแรก เพียงแต่ใช้ยาสลบในการผ่าตัดพอเข้าห้องผ่าตัดดมยาสลบเราตื่นมาก็อยู่ในห้องพักฟื้นแล้ว ถามว่าเจ็บแผลไหมก็เจ็บแน่นอนเพราะเพิ่งผ่านการผ่าตัดมาแต่ไม่เจ็บเท่าการผ่าตัดลูกคนแรกและเราฟื้นตัวเร็วมากหลังจากผ่าตัดแล้ว มาถึงการผ่าตัดครั้งที่ 3 คือการผ่าคลอดลูกคนที่ 2 ของเราห่างจากการผ่าตัดรังไข่ประมาณ 7 ปีการผ่าคลอดครั้งนี้เราได้เตรียมตัวและเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี เพราะเราสามารถเลือกวันผ่าคลอดได้เนื่องจากเราต้องผ่าแน่นอนไม่มีโอกาสได้คลอดเองอยู่แล้ว ก่อนผ่าตัดเราต้องไปนอนรอเตรียมพร้อมผ่าตัดที่โรงพยาบาล 1 คืนมันตื่นเต้นมากกับการผ่าตัดครั้งนี้เพราะเราอยากเห็นหน้าลูกน้อยเราที่อยู่ในท้อง พอถึงวันที่ต้องผ่าตัดมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยเกิดขึ้นกับเราเพราะพยาบาลที่ดูแลไข้เราอยู่ ไม่ได้เตรียมพร้อมร่างกายเราเพื่อเข้าห้องผ่าตัดมีมาเจาะสายน้ำเกลือแค่ตอนเช้าแต่ไม่มาทำความสะอาดร่างกายเราและใส่สายสวนปัสสาวะให้เรา จนจะถึงเวลาที่หมอนัดผ่าแล้วจึงเพิ่งมาทำให้เลยส่งเราไปห้องผ่าตัดช้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง และสายสวนฉี่ก็ใส่ให้เราไม่เข้าพยาบาลและหมอในห้องผ่าตัดบ่นใหญ่เลย พอเราไปถึงห้องผ่าตัดก็อารมณ์เดิมคือตื่นเต้นมากนอนกางแขนออกเหมือนกับการผ่าคลอดครั้งแรกและทำการบล็อกหลังเราเหมือนเดิมเพียงแค่หมอไม่ใช่คนเดียวกันเท่านั้น และก่อนเข้าห้องผ่าตัดจะมีพยาบาลมาถามเราเลยว่าจะบล็อกหลังหรือดมยาสลบ เราเลือกบล็อกหลังเพราะเราอยากเห็นลูกและไม่กลัวการบล็อกหลังแล้วการผ่าตัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานเราได้ยินเสียงลูกเราร้องและเราได้เห็นเขาแบบเต็มตัว พยาบาลอุ้มเขามาให้เราหอมเขาไปหนึ่งครั้งและเอาเข้าไปก่อนจากนั้นหมอก็เริ่มทำหมันให้เราและเย็บแผลให้เราเสร็จเรียบร้อยภายในเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง หลังจากผ่าตัดเสร็จเราถูกย้ายมาที่ห้องดูอาการแต่เรารู้สึกหนาวมากหนาวจนปากสั้น พยาบาลในห้องดูอาการเลยเอาตัวทำความร้อนมาให้เราเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกายเราและแจ้งเราว่ามันเป็นอาการข้างเคียงของคนที่เพิ่งผ่าตัดมา อีกซักพักก็จะดีขึ้นเราก็ดีขึ้นจริง ๆ หลังจากรอดูอาการครบ 1 ชั่วโมงก็ถูกส่งขึ้นไปยังห้องพักฟื้น เราขยับตัวได้เร็วมากภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงพอตอนเช้าตื่นมาเราก็ลุกนั่งได้แต่ยังต้องใช้ตัวช่วยพยุงอยู่ ถามว่าเจ็บแผลไหมก็เจ็บแต่ไม่มากเท่ากับการผ่าคลอดครั้งแรกพอพยาบาลถอดสายสวนฉี่ให้เรา เราก็ลุกเดินได้แล้วเข้าห้องน้ำเองได้แล้ว เท่าที่เราสอบถามหมอมาเพราะเราอยากรู้ว่าการผ่าตัดแบบบล็อกหลังกับแบบดมยาสลบมันต่างกันยังไง หมอแจ้งเราว่าจริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่จะเลือกบล็อกหลังเพราะเขาได้เจอหน้าลูกเลยหลังจากผ่าตัด อีกทั้งการผ่าตัดแบบบล็อกหลังทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วกว่าการผ่าตัดแบบดมยาสลบผลข้างเคียงก็น้อยกว่ากัน แต่คนที่เลือกผ่าตัดแบบดมยาสลบส่วนใหญ่เกิดจากความกลัวมากกว่า พอตื่นขึ้นมาจากยาสลบแล้วจะรู้สึกปวดแผลมากกว่าคนที่ผ่าตัดแบบบล็อกหลังเพราะว่าคนผ่าตัดแบบบล็อกหลังเมื่อร่างกายเริ่มหายชาจะเริ่มค่อย ๆ ปวดแผล แต่คนที่ฟื้นจากยาสลบพอรู้สึกตัวคือแผลจะปวดแบบสุด ๆ เลยไม่ได้ค่อย ๆ ปวดเหมือนคนผ่าแบบบล็อกหลังนั้นเอง เครดิตภาพหน้าปกจาก Pexels.com /ภาพที่ 1 Pixabay.com / ภาพที่ 2 Pixabay.com / ภาพที่ 3 Pixabay.com / ภาพที่ 4 Pixabay.com