10 ไอเดียจัดสวนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้น้ำอย่างประหยัด อ่านกันเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ในปัจจุบันที่ปัญหาการขาดแคลนน้ำและสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น การมีสวนสวยๆ ที่เขียวขจีอาจทำให้หลายคนกังวลว่า จะต้องใช้น้ำมากและสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยไม่จำเป็น แต่แท้จริงแล้วเราสามารถสร้างสวนที่ทั้งสดชื่นและช่วยประหยัดน้ำได้ หากเรารู้จักวิธีการดูแลและจัดการอย่างเหมาะสม โดยมีหลายอย่างเหมือนกัน ได้แก่ การเลือกพืชที่ทนแล้ง การใช้น้ำหยดแทนสายยาง การเก็บน้ำฝนมาใช้ หรือแม้แต่การนำน้ำใช้แล้วกลับมารีไซเคิลในสวน ล้วนเป็นแนวทางที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน และยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งเป็นการใส่ใจสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันค่ะ แต่สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่าการทำสวนประหยัดน้ำ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องลงทุนมากหรือต้องเปลี่ยนทุกอย่างในทันที แต่สามารถเริ่มได้จากพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ใกล้ตัว เช่น การรดน้ำในช่วงเช้าหรือเย็นเพื่อให้ดินเก็บความชุ่มชื้นได้นานขึ้น หรือการใช้วัสดุธรรมชาติอย่างใบไม้แห้งหรือฟางคลุมดินเพื่อลดการระเหยของน้ำ ซึ่งวิธีเหล่านี้อาจดูธรรมดา แต่เมื่อทำต่อเนื่องก็จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้จริงนะคะ ดังนั้นจึงอยากชวนคนไทยทุกคนหันมามองเห็นว่า การทำสวนที่เขียวสวยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เริ่มได้ง่ายๆ ที่บ้านของเราเอง และเมื่อค่อยๆ ลงมือทำ เราจะได้สวนที่ไม่เพียงน่ามอง แต่ยังช่วยรักษาทรัพยากรน้ำและสร้างคุณค่าให้กับโลกไปพร้อมกัน จากการประยุกต์ใช้แนวทางดังต่อไปนี้ค่ะ 1. ปลูกพืชคลุมดิน รู้ไหมคะว่า การปลูกพืชคลุมดินเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้สวนของเรา มีความชุ่มชื้นและประหยัดน้ำได้อย่างยั่งยืน เพราะพืชคลุมดินจะช่วยปกป้องหน้าดินจากแสงแดดโดยตรง ลดการระเหยของน้ำ และยังช่วยป้องกันการพังทลายของดินเมื่อมีฝนตกหนัก และพืชกลุ่มนี้ยังช่วยลดปัญหาวัชพืชที่แย่งอาหารและน้ำจากต้นไม้หลัก ทำให้เราไม่ต้องรดน้ำหรือดูแลบ่อยเกินไป อีกทั้งยังสามารถเลือกพืชที่สวยงาม เช่น ถั่วลิสงเถา หรือพืชตระกูลถั่วบางชนิด ที่ให้ทั้งประโยชน์และความเขียวสดชื่นแก่สวนของเรา และนอกจากเรื่องการประหยัดน้ำแล้ว พืชคลุมดินยังช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน เมื่อใบและลำต้นของพืชเหล่านี้ย่อยสลายก็จะกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ทำให้ดินร่วนซุยและเหมาะกับการเจริญเติบโตของพืชอื่นๆ อีกด้วย การปลูกพืชคลุมดินจึงถือเป็นการสร้างระบบนิเวศขนาดเล็กในสวน ที่ทำงานสอดประสานกันอย่างสมดุล ทั้งการรักษาความชื้น ลดงานดูแลสวน เพิ่มธาตุอาหาร และทำให้สวนดูเขียวขจีสวยงามโดยไม่ต้องใช้น้ำหรือสารเคมีมากเกินความจำเป็นค่ะ 2. รีไซเคิลน้ำใช้แล้ว การรีไซเคิลน้ำใช้แล้วเพื่อนำกลับมาใช้ในสวน ถือเป็นแนวทางที่ทั้งประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างที่ทำได้ง่ายคือการนำน้ำล้างข้าว น้ำล้างผัก หรือน้ำที่เหลือจากการต้มหรือแช่อาหารมาใช้รดต้นไม้ เพราะน้ำเหล่านี้มีสารอาหารบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพืช เช่น แป้งในน้ำล้างข้าวที่ช่วยบำรุงราก ที่ช่วยให้ต้นไม้แข็งแรงได้ การนำน้ำเหล่านี้กลับมาใช้แทนที่จะเททิ้ง ยังช่วยลดการใช้น้ำประปา ทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายและใช้น้ำได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้นค่ะ นอกจากนี้เรายังสามารถนำน้ำจากเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องซักผ้าบางประเภท ที่ไม่ได้ใช้ผงซักฟอกเข้มข้นมาใช้ในสวนได้ แต่ควรตรวจสอบว่าปลอดสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อดินและพืช การรีไซเคิลน้ำใช้แล้วจึงไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำใหม่ แต่ยังเป็นการจัดการทรัพยากรในบ้านให้หมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยสร้างพฤติกรรมที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และทำให้สวนของเราดูมีชีวิตชีวาโดยไม่ต้องเปลืองน้ำมากเกินไป 3. ปลูกพืชทนแล้ง การปลูกพืชทนแล้งเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ ได้ทั้งการประหยัดน้ำและการดูแลรักษาสวนให้ง่ายขึ้นค่ะ โดยพืชกลุ่มนี้ เช่น กระบองเพชร ไม้อวบน้ำ หรือต้นหูกระจง เพราะมีความสามารถเก็บกักน้ำในลำต้นหรือใบ ทำให้ทนต่อสภาพอากาศร้อนและการขาดน้ำได้นาน เราจึงไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อย เพียงแค่รดเป็นครั้งคราวก็เพียงพอ อีกทั้งพืชเหล่านี้ยังให้ความสวยงามเฉพาะตัว บางชนิดมีดอกสีสันสดใสที่ทำให้สวนดูโดดเด่นโดยไม่ต้องเปลืองทรัพยากรน้ำมากเกินไป นอกจากการช่วยประหยัดน้ำแล้ว การปลูกพืชทนแล้งยังเหมาะกับผู้ที่มีเวลาจำกัด ไม่สามารถดูแลรดน้ำสวนทุกวันได้ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคพืชที่เกิดจากความชื้นสูงเกินไป การจัดสวนสไตล์ที่เน้นพืชทนแล้งและการใช้วัสดุปูคลุมดินอย่างกรวดหรือหิน ยังทำให้สวนดูโมเดิร์นและเป็นระเบียบมากขึ้น สวนแบบนี้จึงเหมาะทั้งสำหรับบ้านในเมืองและพื้นที่ที่มีสภาพอากาศร้อนแล้ง เพราะช่วยสร้างความร่มรื่นอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมค่ะ 4. ใช้น้ำหยดแทนสายยาง การใช้น้ำหยดแทนการรดน้ำด้วยสายยาง เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เราประหยัดน้ำและดูแลพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ จากที่มีหลักการคือปล่อยให้น้ำซึมออกมาช้าๆ ตรงโคนต้นพืช จึงทำให้น้ำซึมลงดินได้ลึกและตรงจุด ไม่สูญเสียไปกับการระเหยหรือไหลออกนอกพื้นที่เหมือนการฉีดพ่นด้วยสายยาง วิธีนี้ยังช่วยให้รากพืชได้รับน้ำสม่ำเสมอ ลดความเครียดของพืชที่เกิดจากการขาดน้ำ และทำให้พืชเติบโตได้แข็งแรง อีกทั้งยังป้องกันโรคพืชที่มักเกิดจากความชื้นสะสมบน ใบเพราะน้ำไม่กระเด็นไปทั่ว นอกจากนี้การใช้น้ำหยดยังทำให้เราควบคุมปริมาณน้ำที่ใช้ได้แม่นยำมากขึ้น สามารถติดตั้งระบบอัตโนมัติด้วยท่อเล็ก หรือแม้แต่ขวดพลาสติกเจาะรูเล็กๆ ก็ได้ เหมาะกับพืชผักสวนครัวที่ต้องการน้ำสม่ำเสมอ หรือพืชที่ปลูกในพื้นที่ที่มีแดดจัด การให้น้ำแบบนี้ยังช่วยลดงานดูแลของเรา ไม่ต้องคอยรดน้ำหลายรอบต่อวัน และยังประหยัดน้ำได้อย่างเห็นผล ทำให้เป็นวิธีการรดน้ำที่ทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสะดวกสำหรับเจ้าของสวนในระยะยาวค่ะ 5. ปูคลุมดินด้วยวัสดุธรรมชาติ การปูคลุมดินด้วยวัสดุธรรมชาติถือเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้สวนของเราประหยัดน้ำและรักษาความชุ่มชื้นในดินได้ยาวนานขึ้น ซึ่งวัสดุที่ใช้ได้มีหลายแบบ เช่น ฟางข้าว ใบไม้แห้ง เปลือกไม้ หรือแม้แต่วัชพืชที่ตัดแล้วนำมาตากแห้ง การปูคลุมดินเหล่านี้ช่วยป้องกันไม่ให้แสงแดดส่องกระทบหน้าดินโดยตรง ทำให้น้ำในดินไม่ระเหยออกอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยลดการกระแทกของเม็ดฝน ป้องกันการพังทลายและการชะล้างหน้าดิน เหมาะสำหรับทั้งแปลงผักสวนครัวและไม้ดอกไม้ประดับที่ต้องการความชื้นสม่ำเสมอ และอีกข้อดีสำคัญของการใช้วัสดุธรรมชาติคลุมดิน คือ เมื่อเวลาผ่านไปวัสดุเหล่านี้จะค่อยๆ ย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ทำให้ดินร่วนซุยและอุดมไปด้วยธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช วิธีนี้ช่วยลดความจำเป็นในการใช้ปุ๋ยเคมีและลดขยะอินทรีย์ในบ้าน เช่น ใบไม้ที่กวาดจากสวนก็สามารถนำมาปูคลุมได้โดยไม่ต้องทิ้งไป การปูคลุมดินจึงเป็นการจัดการสวนที่ได้ประโยชน์หลายด้าน ทั้งการรักษาความชื้น การลดการใช้น้ำ การบำรุงดิน และการลดภาระในการกำจัดวัชพืชในคราวเดียวค่ะ 6. เก็บน้ำฝนมาใช้ การเก็บน้ำฝนมาใช้ถือเป็นวิธีการจัดการน้ำที่ชาญฉลาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมค่ะ เพราะน้ำฝนเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ได้มาฟรี และสามารถนำมาใช้ในสวนได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองน้ำประปา โดยเราสามารถติดตั้งรางน้ำฝนที่หลังคาให้ไหลลงสู่ถังเก็บ โดยเลือกถังที่มีฝาปิดป้องกันยุงและเศษใบไม้ตกลงไป น้ำฝนที่ได้สามารถนำมารดต้นไม้ ล้างพื้น หรือใช้ในกิจกรรมภายนอกบ้านต่างๆ น้ำฝนยังมีคุณสมบัติเป็นน้ำอ่อนที่ไม่มีคลอรีน ทำให้พืชดูดซึมไปใช้ได้ง่ายและเติบโตได้ดี นอกจากนี้การเก็บน้ำฝนยังช่วยลดปัญหาน้ำท่วมขังรอบบ้าน เพราะน้ำถูกกักเก็บไว้ใช้ประโยชน์แทนที่จะไหลบ่าลงท่อทันที ถ้าเราจัดการให้ดีระบบนี้จะช่วยให้เรามีแหล่งน้ำสำรองใช้ในช่วงฤดูแล้งหรือวันที่น้ำประปาขัดข้อง การเก็บน้ำฝนจึงไม่ใช่แค่การประหยัดน้ำ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นคงด้านน้ำในครัวเรือน และเป็นวิธีที่ทำให้เราอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้วอย่างคุ้มค่าและยั่งยืนค่ะ 7. แบ่งโซนรดน้ำตามความต้องการพืช การแบ่งโซนรดน้ำตามความต้องการของพืช เป็นเทคนิคที่ช่วยให้การจัดการสวนมีประสิทธิภาพและประหยัดน้ำมากขึ้นค่ะ หลักการคือเราต้องสังเกตว่าพืชชนิดใดต้องการน้ำมาก เช่น ผักสวนครัวหรือไม้ดอกบางชนิด แล้วจัดให้อยู่รวมกันในโซนเดียว ส่วนพืชที่ทนแล้งได้ดี เช่น กระบองเพชร ไม้อวบน้ำ หรือไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ก็ควรแยกไปอีกโซนหนึ่ง วิธีนี้ทำให้เราสามารถควบคุมการให้น้ำได้ตรงตามความต้องการ ไม่เกิดการรดน้ำเกินหรือน้อยเกินไป ข้อดีของการจัดโซนรดน้ำคือช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำโดยไม่จำเป็น และยังทำให้พืชแต่ละชนิดได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมมากขึ้น สวนที่มีการแบ่งโซนรดน้ำยังช่วยให้เราวางแผนติดตั้งระบบน้ำหยดหรือสปริงเกอร์ได้ง่ายขึ้น เพราะแต่ละโซนมีความต้องการน้ำใกล้เคียงกัน การจัดการลักษณะนี้ไม่เพียงช่วยรักษาทรัพยากรน้ำ แต่ยังทำให้สวนดูเป็นระบบระเบียบ และลดภาระงานดูแลของเราในระยะยาวได้อย่างชัดเจนค่ะ 8. รดน้ำช่วงเช้าหรือเย็น การรดน้ำต้นไม้ในช่วงเช้าหรือเย็นถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพราะอากาศไม่ร้อนจัดและแสงแดดยังไม่แรง ทำให้น้ำที่รดลงไปซึมเข้าสู่ดินได้อย่างเต็มที่โดยไม่สูญเสียไปกับการระเหยมากเกินไป ในตอนเช้าโดยเฉพาะช่วงก่อน 9 โมง พืชจะได้รับน้ำไปใช้ในการสังเคราะห์แสงตลอดทั้งวันอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งการรดน้ำช่วงนี้ยังทำให้ใบและดินมีเวลาแห้งจนถึงกลางวัน ลดความเสี่ยงในการเกิดเชื้อราหรือโรคที่มักมาพร้อมความชื้นสะสม ส่วนการรดน้ำในช่วงเย็นก็มีข้อดีเช่นกันค่ะ เพราะอุณหภูมิลดลงน้ำที่รดจึงคงอยู่ในดินได้นาน รากพืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ตลอดคืน แต่ควรหลีกเลี่ยงการรดช้าจนเกินไป เช่น หลังพระอาทิตย์ตกดินไปมากแล้ว เพราะอาจทำให้ใบและดินชื้นข้ามคืน จนเป็นแหล่งสะสมของโรคพืชหรือแมลงได้ การเลือกเวลารดน้ำที่เหมาะสมจึงเป็นการประหยัดน้ำไปในตัว พร้อมทั้งช่วยให้ต้นไม้แข็งแรงและลดปัญหาที่เกิดจากการดูแลผิดวิธีได้อย่างดี 9. เลือกใช้ดินที่อุ้มน้ำดี การเลือกใช้ดินที่อุ้มน้ำดีเป็นหัวใจสำคัญของการปลูกพืชแบบประหยัดน้ำค่ะ เพราะดินที่มีคุณภาพจะเก็บความชื้นไว้ได้นานและค่อยๆ ปล่อยออกมาให้รากพืชดูดซึมไปใช้ได้อย่างต่อเนื่องดินที่ดีควรมีโครงสร้างร่วนซุย ระบายน้ำได้พอเหมาะแต่ไม่แห้งเร็วเกินไป การผสมปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรืออินทรียวัตถุต่างๆ ลงไปในดินจะช่วยเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำได้ อีกทั้งยังเพิ่มธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ทำให้พืชเติบโตได้แข็งแรงโดยไม่ต้องรดน้ำบ่อย นอกจากนี้เรายังสามารถเสริมวัสดุที่ช่วยเก็บความชื้นได้ดี เช่น เพอร์ไลต์ เวอร์มิคูไลต์ หรือไฮโดรเจล ลงไปในดินปลูก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอุ้มน้ำให้สูงขึ้น เหมาะกับพืชที่ปลูกในกระถางหรือพื้นที่ที่มีแดดแรงซึ่งดินมักจะแห้งเร็ว ดินที่อุ้มน้ำดีไม่เพียงแต่ช่วยลดความถี่ในการรดน้ำ แต่ยังทำให้พืชไม่เผชิญความเครียดจากการขาดน้ำ และช่วยให้เราประหยัดน้ำได้จริงในระยะยาวสวนที่มีดินคุณภาพจึงเป็นสวนที่ทั้งเขียวสวยและดูแลง่ายกว่ามาก 10. ใช้ภาชนะปลูกที่เหมาะสม การใช้ภาชนะปลูกที่เหมาะสมเป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลสวน ที่ทำให้ประหยัดน้ำและช่วยให้พืชเติบโตได้ดีค่ะ ซึ่งภาชนะที่เลือกควรมีขนาดสอดคล้องกับชนิดและอายุของพืช เช่น กระถางที่ใหญ่เกินไปอาจเก็บน้ำมากเกินจนดินชื้นแฉะ ทำให้รากเน่าได้ง่าย ในขณะที่กระถางเล็กเกินไปจะทำให้ดินแห้งเร็ว ต้องรดน้ำบ่อยและรากพืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้เต็มที่ ภาชนะที่เหมาะสมควรมีรูระบายน้ำที่พอดีเพื่อป้องกันน้ำขัง และควรเลือกวัสดุที่ช่วยรักษาความชื้นได้ดี เช่น กระถางดินเผาที่ระบายอากาศได้ แต่ยังคงความชุ่มชื้นในดิน นอกจากนี้การเลือกภาชนะปลูกยังมีผลต่อการจัดการน้ำโดยตรงเช่น การใช้แปลงยกสูงหรือกระบะปลูกที่บุด้วยพลาสติกกันน้ำ จะช่วยให้ดินเก็บความชื้นได้นานขึ้น การวางถาดรองน้ำใต้กระถางก็ช่วยให้พืชสามารถดูดน้ำสำรองได้เมื่อดินเริ่มแห้ง ซึ่งวิธีเหล่านี้ช่วยลดการรดน้ำซ้ำซ้อน และใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่าได้ การใช้ภาชนะปลูกที่เหมาะสมจึงไม่เพียงแต่ช่วยให้พืชแข็งแรง แต่ยังเป็นการจัดการน้ำอย่างชาญฉลาด ที่ทำให้สวนของเรายั่งยืนและดูแลง่ายมากขึ้นค่ะ ก็จบแล้วค่ะ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหลายคนอาจตั้งคำถามว่า ในการทำสวนให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและใช้น้ำอย่างประหยัดนั้น เราจำเป็นต้องทำครบทุกวิธีที่กล่าวมาทั้งหมดหรือไม่ คำตอบคือในความจริงแล้วไม่จำเป็นเลยค่ะ เพราะการทำทุกอย่างพร้อมกันอาจทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้า ลงทุนสูง และยากต่อการรักษาในระยะยาว ซึ่งสิ่งที่สำคัญกว่าคือการเลือกแนวทางที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต พื้นที่ และความพร้อมของเราเอง การทำทีละเล็กทีละน้อยแต่ต่อเนื่อง จะช่วยให้เกิดผลที่มั่นคงและยั่งยืนกว่านะคะ ซึ่งการเริ่มต้นจึงไม่ใช่การทำทุกวิธีทันที แต่คือการเลือกสิ่งที่ง่ายที่สุดและทำได้จริงในตอนนี้ก่อนค่ะ ถ้าหากเราต้องการเริ่มต้นแบบง่ายๆ โดยไม่ต้องลงทุนมาก สิ่งแรกที่ควรลองคือการเปลี่ยนพฤติกรรมการรดน้ำต้นไม้ เช่น รดน้ำในช่วงเช้าหรือเย็นแทนการรดตอนแดดแรง เพื่อลดการระเหยของน้ำนะคะ อีกทั้งยังช่วยให้พืชนำไปใช้ได้เต็มที่ นอกจากนี้การนำน้ำใช้แล้วที่ปลอดภัย เช่น น้ำล้างข้าวหรือน้ำล้างผัก มาใช้รดต้นไม้ ก็ช่วยลดการใช้น้ำใหม่และเป็นการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า การปูคลุมดินด้วยใบไม้แห้ง ฟางข้าว หรือเศษหญ้าที่หาได้ง่ายรอบบ้าน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาความชื้นและลดการใช้น้ำโดยแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยสิ่งเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำได้ทันทีและให้ผลลัพธ์ชัดเจนค่ะ และเมื่อเราทำสิ่งเล็กๆ จนเริ่มเห็นผลและเกิดความคุ้นเคยแล้ว จากนั้นก็ค่อยขยับไปสู่ขั้นที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การติดตั้งระบบน้ำหยดที่ช่วยควบคุมปริมาณน้ำอย่างแม่นยำ หรือการจัดการเก็บน้ำฝนไว้ใช้ในช่วงหน้าแล้ง การเลือกใช้ดินที่อุ้มน้ำได้ดีและภาชนะปลูกที่เหมาะสม ก็เป็นการลงทุนระยะยาวที่ช่วยลดการใช้น้ำและทำให้พืชแข็งแรงมากขึ้น การก้าวไปทีละขั้นจะช่วยให้เรามีกำลังใจ และไม่รู้สึกว่าการทำสวนเชิงอนุรักษ์เป็นเรื่องยากเกินไป สุดท้ายสวนของเราก็จะค่อยๆ กลายเป็นพื้นที่ที่สวยงาม ดูแลง่าย ประหยัดน้ำ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนค่ะ ที่โดยส่วนตัวแล้วสำหรับผู้เขียนเองนั้นมีแนวทางหลายอย่าง ในการทำให้การดูแลสวนประหยัดน้ำ ซึ่งสวนของผู้เขียนจะเน้นสวนผักและสมุนไพร ส่วนไม้ประดับและไม้ดอกมีแค่ประดับจริงๆ ค่ะ ซึ่งการเลือกพืชที่ทนแล้ง การทำสวนแนวตั้งเพื่อรดน้ำครั้งเดียวแล้วพืชด้านล่างได้น้ำด้วย แบบนี้ก็ช่วยได้เหมือนกันค่ะ การใช้ฟางคลุมดิน และผู้เขียนเคยไปได้ไปเห็นตัวอย่างการใช้ใบสักมาคลุมดินในไร่สตรอว์เบอร์รี่มาเหมือนกันค่ะ สำหรับการรองน้ำฝนไว้รดต้นไม้ สิ่งนี้ผู้เขียนทำประจำอยู่แล้วนะคะ และเคยเห็นในสวนบ้านของผู้กำกับท่านหนึ่ง คือตอนนั้นผู้เขียนไปแก้ปัญหาเรื่องน้ำเสียกับอาจารย์ของผู้เขียน และได้ไปเห็นมาว่าบ้านหลังที่ว่านี้ได้เก็บน้ำฝนเอาไว้ โดยมีถังพักและนำมาใช้ในสวน นั่นก็เป็นตัวอย่างค่ะ ที่มีจริงๆ มีตัวอย่างของการเก็บน้ำฝนเอาไว้ใช้ในสวน ยังไงนั้นก็ลองนำแนวทางในบทความนี้ไปประยุกต์ใช้กันค่ะ และด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากคุณผู้อ่านชื่นชอบเนื้อหาแนวนี้ อย่าลืมกดติดตามหรือบันทึกโปรไฟล์ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดข้อมูลใหม่ๆ ในบทความถัดไป หากสนใจอ่านบทความทั้งหมดของผู้เขียน ก็สามารถกดเข้าไปดูได้จากโปรไฟล์เช่นกันค่ะ #ไอเดียจัดสวน #ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม #เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม #วิธีประหยัดน้ำ #EnvironmentalHealth เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก ถ่ายภาพโดย Gal Nemts จาก Unsplash และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1-3 ถ่ายภาพโดยผู้เขียน และภาพที่ 4 AI Generated โดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล จอกผักกาด พืชน้ำใส่อ่างปลา บำบัดน้ำเสียไหม ขยายพันธุ์แบบไหน 9 จุดที่ควรวางกระถางต้นไม้ ในบริเวณบ้าน เพิ่มพื้นที่สีเขียว 10 ข้อคิดเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เริ่มได้จากตัวเรา! เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !