รีเซต

NERออเดอร์แน่นQ3นิวไฮ พื้นฐานเปลี่ยนเป้า11.50บ.

NERออเดอร์แน่นQ3นิวไฮ พื้นฐานเปลี่ยนเป้า11.50บ.
ทันหุ้น
1 ตุลาคม 2564 ( 00:50 )
127

 

ทันหุ้น–NER แย้มผลงานไตรมาส3/2564 ทำนิวไฮเดินหน้าเจรจาลูกค้าอินเดียอีก 2 รายคาดสรุปในปีนี้ มั่นใจทั้งปีผลงานทำสถิติสูงสุดใหม่ รายได้ชน2.45 หมื่นล้านบาทตุนออเดอร์ถึงไตรมาส 2/2565 ฟากโบรกมองไตรมาส3/2564 กำไรปกติทำนิวไฮที่ 537 ล้านบาท ปรับกำไรปี 2564 เป็น1,907 ล้านบาท เติบโต 101.9%คาดปันผลครึ่งปีหลังอีก 0.30 บาท ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 11.50 บาท มี Upside Gain อีกกว่า 40%

 

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3/2564 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) โดยปริมาณการส่งมอบยางและราคาขายดีกว่าไตรมาสก่อนหน้า และจากช่วงเดียวกันปีก่อน นอกจากนี้ในเดือนตุลาคมนี้ บริษัทเตรียมส่งมอบยางให้แก่ลูกค้าอินเดีย 2 รายที่ได้เซ็นสัญญาระยะยาว (Long-Term Contract)ไปแล้ว และอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 2 รายคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้

 

*ตุนออเดอร์ถึงกลางปีหน้า

ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่รายได้จะทำได้ที่ 24,500 ล้านบาท และปริมาณขายที่ 4.4 แสนตัน โดยความต้องการยางธรรมชาติยังมีการเติบโตได้แต่อัตราการเติบโตอาจจะไม่สูงมาก แต่ในด้านซัพพลายอาจจะลดลง เพราะขณะนี้ไม่มีใครปลูกยางธรรมชาติเพิ่ม เพราะบริหารจัดการยากและราคายางมีการปรับตัวลดลงมา ทำให้บริษัทมีต้นทุนที่ไม่สูงมากนัก แต่บริษัทยังมีปัจจัยหนุนในส่วนของยอดขายรถยนต์ที่เติบโตได้ในระดับสูงจากนโยบายรถยนต์ EV ของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลักของบริษัท อีกทั้งปัจจุบันบริษัทมีออเดอร์ล่วงหน้าไปถึงไตรมาส 2/2565 แล้ว

 

ขณะเดียวกันปลายปี 2564 กำลังการผลิตของบริษัทจะอีก 50,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน โดยจะลงทุนซื้อเครื่องจักรประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าปี 2565 จะมีรายได้จะเพิ่มเป็น 28,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 31,000  ล้านบาท ในปี 2566 โดยการบริหารต้นทุนที่ดีจากการสร้างโรงงานแห่งใหม่ทำให้ อัตรากำไรสุทธิ ที่เพิ่มขึ้นมาที่ประมาณ 6-7%

 

*แผ่นยางปูรองนอนสัตว์โตดี

นอกจากนี้บริษัทเดินหน้าผลักดันธุรกิจแผ่นยางปูรองนอนสัตว์ มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง คาดว่าจะสรุปแผนการตลาดทั้งหมดในช่วงเดือนธันวาคมและเริ่มเปิดตัวสินค้าจำหน่ายได้ในเดือนมกราคม ปี 2565 คาดว่า ปี2565 จะมีรายได้จากธุรกิจดังกล่าวเข้ามาประมาณ 500 ล้านบาท หรือมียอดขายรวมประมาณ 250,000แผ่น ส่วนปี 2566 คาดว่าจะมียอดขายที่ 950 ล้านบาท หรือมียอดขายเข้ามาที่ 450,000 แผ่น

 

และในปี 2567คาดว่าจะมียอดขายถึงระดับ 1,660 ล้านบาท หรือประมาณ 700,000 แผ่น โดยสินค้าดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ ที่มีมาร์จิ้นสูงมีอัตรากำไรประมาณ15-20% และคาดว่าในปี 2567 ส่วนรายได้จากธุรกิจอื่นทั้งในส่วนแผ่นปูรองนอนสัตว์และโรงไฟฟ้า จะเพิ่มมาอยู่ที่ 20% และจะพยายามผลักดันให้มีสัดส่วน50:50ในอนาคต

 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง NER ว่า คาดกำไรปกติไตรมาส 3/2564 ทำ New High คาดปริมาณขายเติบโต 11% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 21% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็น 1.29 แสนตัน คาดราคาขายเฉลี่ยที่ 53.3 บาทต่อตัน(ลดลง 1.5% จากไตรมาสก่อนหน้า, เติบโต 30.7%จากช่วงเดียวกันปีก่อน) คาดรายได้ที่ 6,877 ล้านบาท (เติบโต 9.3%จากไตรมาสก่อนหน้า, เติบโต 58.6%จากช่วงเดียวกันปีก่อน) อัตรากำไรขั้นต้นคาดที่ 13.2% เพิ่มขึ้นจาก 12.6% ในไตรมาส 2/2564 แม้ว่าคาดราคาขายทรงตัว เนื่องจากอุปสงค์จากลูกค้ากลุ่มยางล้อยังสูง ขณะที่ต้นทุนของบริษัทเป็นต้นทุนเฉลี่ยที่ทยอยซื้อเพิ่มในช่วง ไตรมาส 3/2564 ที่ราคายางมีการปรับตัวลง แต่ราคาขายไม่ได้ลดลงตาม ขณะที่เริ่มเห็นอุปสงค์ของยาง RSS ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเริ่มมากขึ้น

 

*เป้าใหม่ 11.50 บาท

พร้อมกันนี้คาดว่าจากอุปสงค์ของยางล้อเครื่องบิน และผลของค่าเงินบาทอ่อนค่าช่วยหนุนเช่นกัน แต่ในทางบัญชีอาจมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงซึ่งคาดที่ราว 95 ล้านบาท เพราะค่าเงินบาทอ่อนค่าลงค่อนข้างเร็วใน ไตรมาส 3/2564 ทำให้ในฝั่ง Hedging ค่าเงินอาจมีขาดทุนทางบัญชี คาดกำไรสุทธิที่ 442 ล้านบาท แต่หากไม่รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนกำไรปกติคาดที่ 537 ล้านบาท  (เติบโต 14.0%จากไตรมาสก่อนหน้า, เติบโต 215.8%จากช่วงเดียวกันปีก่อน) และทำระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ดีกว่าที่เคยประเมินไว้ว่าอาจทำได้ เพียงทรงตัว จากไตรมาสก่อนหน้า

 

ทั้งนี้คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3/2564 จะเป็นอีกไตรมาสหนึ่งที่เป็น Positive Surprise ให้กับฝ่ายวิจัยและ Consensusและต้องปรับประมาณการขึ้นต่อเนื่อง จึงปรับประมาณการกำไรปกติปี 2564-2565 ขึ้น 7.3% และ 8.4% เป็น 1,907 ล้านบาท (เติบโต 101.9%) และ 2,033 ล้านบาท เติบโต 6.6% ตามลำดับและการปรับไปใช้ราคาเป้าหมายเป็นสิ้นปี 2565 จากเดิมกลางปี 2565 ส่งผลให้ราคาเป้าหมายใหม่อิง PER ที่ 10 เท่า เพิ่มขึ้นเป็น 11.50 บาท มี Upside Gain 49.4% และปัจจุบันซื้อขายที่ PER64 ต่ำเพียง 6.7 เท่า คาดเงิน ปันผลงวด ครึ่งปีหลัง 2564 อีก 0.30 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 3.9% คงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง