รีเซต

สวีเดน : ทำไมคดีสังหารผู้หญิงกำลังเพิ่มขึ้น ในดินแดนแห่งความสงบ

สวีเดน : ทำไมคดีสังหารผู้หญิงกำลังเพิ่มขึ้น ในดินแดนแห่งความสงบ
ข่าวสด
7 พฤษภาคม 2564 ( 01:12 )
77
สวีเดน : ทำไมคดีสังหารผู้หญิงกำลังเพิ่มขึ้น ในดินแดนแห่งความสงบ

การสังหารสตรี 6 คน ในเวลา 5 สัปดาห์ ในสวีเดน ได้จุดกระแสถกเถียงเรื่องปัญหาความรุนแรงในครอบครัวขึ้นอีกครั้งในประเทศที่มักได้รับยกย่องเรื่องความเสมอภาคทางเพศ

 

 

การฆาตกรรมเกิดขึ้นใน 3 ภูมิภาค และคน 3 รุ่น แต่แทบทุกคดีมีลักษณะเหมือนกันคือ ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับล้วนเป็นชายที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเหยื่อ

 

 

การสังหาร 2 รายเกิดขึ้นกลางวันแสก ๆ คดีหนึ่งเกิดขึ้นในย่านใจกลางเมืองในชนบททางภาคใต้ของประเทศ ส่วนอีกคดีเกิดขึ้นที่สถานีรถไฟและรถประจำทางในเมืองลินเชอปิง เมืองมหาวิทยาลัยทางตอนใต้ของกรุงสตอกโฮล์ม

 

 

ในเฟลมิงแบรย์ ย่านชานเมืองรายได้ต่ำของกรุงสตอกโฮล์ม ที่เต็มไปด้วยอาคารที่พักอาศัยสีสันสดใส ผู้หญิงคนหนึ่งถูกแทงเสียชีวิตในอะพาร์ตเมนต์ที่เธออาศัยอยู่กับลูกน้อย 4 คน มีรายงานว่าผู้ต้องสงสัยเป็นฆาตกรคือชายที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี

 

 

"ฉันไม่ปลอดภัยนัก"

คริสเตียน ยอนซอน วัย 51 ปีที่ออกมาซื้อของกับ เอ็มมา-ลูอีส ลูกสาววัย 18 ปี ในย่านเฟลมิงแบรย์ บอกบีบีซีว่า "ผมคิดว่าจะต้องหยิบยกเรื่องความรุนแรงต่อผู้หญิงขึ้นมาพูดกันให้มากกว่านี้"

 

ขณะที่เอ็มมา-ลูอีส บอกว่า เหตุสังหารผู้หญิงที่เพิ่งจะเกิดขึ้นยิ่งเพิ่มความกังวลเรื่องความปลอดภัยของผู้หญิงในย่านนี้ ซึ่งตัวเธอเองก็แทบจะไม่กล้าออกไปไหนมาไหนตามลำพัง

 

"ฉันไม่ปลอดภัยนัก เพราะมีฆาตกร (หลายคน) อยู่แถวนี้"

 

คดีฆาตกรรมผู้หญิงในช่วงนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงในสวีเดน ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุด และมีความเท่าเทียมทางเพศมากที่สุดในโลก

 

ข้อมูลจากสภาป้องกันอาชญากรรมแห่งชาติของสวีเดน ระบุว่า ในปี 2020 มีรายงานคดีทำร้ายร่างกายผู้หญิงจากน้ำมือของคนใกล้ชิดถึง 16,461 คดีในประเทศ เพิ่มขึ้น 15.4% จากปี 2019 ที่มีคดีดังกล่าว 14,261 คดี

 

 

รัฐบาลเฟมินิสต์

แมร์ตา สเตียนาวี รัฐมนตรีด้านความเสมอภาคทางเพศของสวีเดน ระบุว่า เธอรู้สึก "ตกใจและเสียใจ" กับเหตุรุนแรงต่อสตรีที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ

 

"เรามาไกลมากในหลายด้านเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในสวีเดน แต่เราก็ยังอยู่ในโครงสร้างสังคมที่ยังกดขี่ผู้หญิง" เธอกล่าว

 

เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เธอได้จัดการประชุมถึงปัญหานี้กับพรรคการเมืองต่าง ๆ หลังจากนักการเมืองหลายฝ่ายออกมาประณามการสังหารที่เกิดขึ้น พร้อมกับพยายามผลักดันให้จัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดขึ้น

 

รัฐบาลของสวีเดนที่เรียกตัวเองว่า "รัฐบาลเฟมินิสต์" ได้บริหารแผนยุทธศาสตร์ชาติ 10 ปี มาครึ่งทางแล้ว ซึ่งแผนนี้รวมถึงการยกระดับการศึกษา ตลอดจนปกป้องและสนับสนุนผู้หญิงที่ตกอยู่ในความเสี่ยง

 

ในปลายเดือน พ.ค. นี้ คณะกรรมาธิการชุดใหม่ด้านวิกฤตจะนำเสนอแผนปรับปรุงของแนวนโยบายดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการเพิ่มโทษจำคุก ตลอดจนเพิ่มการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ต้องขัง และการออกคำสั่งห้ามเข้าใกล้เหยื่อ

 

 

คาดว่าแผนการนี้ไม่น่าจะเผชิญเสียงคัดค้านในสภา แค่ก็อาจไปได้ไม่ไกลอย่างที่บางพรรคหวังเอาไว้

 

ด้านตำรวจก็แสดงความยินดีที่ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงได้รับความสนใจจากสังคมและฝ่ายการเมืองอีกครั้ง โดย อันเดิร์ช ทุร์นแบรย์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บอกว่า การที่ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว คือ "ปัญหาใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไขมากกว่านี้"

เขาเผยว่า ปัจจุบันตำรวจได้ให้ความสำคัญกับปัญหาการทำร้ายผู้หญิงและเด็กเป็นอันดับต้น ๆ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ทุ่มงบประมาณว่าจ้างเจ้าหน้าที่พิเศษ 350 คน เพื่อจัดการกับอาชญากรรมประเภทนี้

อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสวีเดนเชื่อว่า การลงโทษทางอาญาเป็นแค่ "จุดเริ่มต้น" ของกระบวนการแก้ปัญหา พร้อมเรียกร้องให้ยกระดับความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของสวีเดน เช่น ฝ่ายบริการสุขภาพ และฝ่ายสังคมสงเคราะห์ รวมถึงสังคมโดยรวม เพื่อให้จัดการปัญหานี้ด้วยความจริงจังยิ่งขึ้น

"คำพูดมากกว่าการกระทำ"

เยนนี เวสเตอร์สตรันด์ หัวหน้า Roks องค์กรบ้านพักฉุกเฉินสตรีแห่งชาติของสวีเดน เห็นด้วยว่า จะต้องมีการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง

B

"คนจำนวนมากในสวีเดนค่อนข้างเบื่อหน่ายที่จะพูดเรื่องความรุนแรง...เพราะมันเป็นเรื่องที่อยู่ในวาระการพูดคุยเสมอมา แต่กลับไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม"

 

เธอหวังว่าปฏิกิริยาจากฝ่ายการเมืองและสังคมต่อเหตุสังหารผู้หญิงที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ "ที่ผ่านมามันเป็นแค่คำพูดมากกว่าอย่างอื่น แต่ฉันคิดว่าคำพูดกำลังมีพลังขึ้นกว่าที่เป็นมา"

 

 

"ค่านิยมที่ถูกนำเข้ามา"

หนึ่งในประเด็นทางการเมืองที่สำคัญของปัญหาความรุนแรงต่อสตรีที่เกิดขึ้นในระยะหลังนี้ คือประเด็นที่ว่าควรจะโยงเรื่องนี้เข้ากับคลื่นผู้อพยพที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในสวีเดนหรือไม่

 

สำนักงานตำรวจสวีเดนไม่ได้ขึ้นทะเบียนผู้ต้องสงสัยในคดีอาญาโดยอ้างอิงจากเชื้อชาติ แต่อัยการหลายคนระบุว่า ชายที่ตกเป็นจำเลยในคดีประเภทนี้มักมีภูมิหลังที่ไม่ใช่คนสวีเดน ซึ่งเรื่องนี้ถูกใช้เป็นอาวุธของพรรคการเมืองที่มีนโยบายต่อต้านผู้อพยพ

 

ในการอภิปรายเรื่องนี้ทางโทรทัศน์ของหัวหน้าพรรคการเมืองเมื่อสัปดาห์ก่อน จิมมี โอเกอซอน หัวหน้าพรรคชาตินิยม "สวีเดน เดโมแครต" เรียกร้องให้มีการปราบปรามสิ่งที่เขาเรียกว่า "ค่านิยมที่ถูกนำเข้ามา" ที่ส่งเสริมความรุนแรงต่อสตรี

แมร์ตา สเตียนาวี รัฐมนตรีด้านความเสมอภาคทางเพศ ยอมรับว่า สวีเดนมีปัญหาที่เรียกว่า "อาชญากรรมเพื่อศักดิ์ศรี" (honour crimes) ซึ่งทำเพื่อปกป้องชื่อเสียงของครอบครัวหรือคนในชุมชน

 

 

แต่เธอเชื่อว่า การบ่งชี้ว่า ปัญหาความรุนแรงต่อสตรีคือ "ปัญหาจากผู้อพยพ" ถือเป็นการลดทอนความรุนแรงของปัญหานี้ เพราะเธอมองว่า ความรุนแรงต่อสตรีเป็นปัญหา "ที่หยั่งรากลึก" ในสังคมสวีเดนอยู่แล้ว

 

โรคระบาดเป็นปัจจัยหรือไม่

เยนนี เวสเตอร์สตรันด์ จากองค์กรบ้านพักฉุกเฉินสตรีแห่งชาติ เชื่อว่า ความรุนแรงครั้งล่าสุดมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤตโควิด-19 เพราะแม้ที่ผ่านมาสวีเดนจะไม่มีการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเป็นทางการ แต่โรคระบาดที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผู้หญิงต้องใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น

 

เวสเตอร์สตรันด์ บอกว่า ผู้หญิงที่เป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวไม่ขอความช่วยเหลืออย่างที่เคยเป็นในห้วงเวลาปกติ "เราจึงคิดว่าพวกเธออาจทนอยู่ในความสัมพันธ์ แล้วอะไร ๆ ก็รุนแรงขึ้น"

 

B

สำหรับผู้คนในย่านเฟลมิงแบรย์ ซึ่งมีผู้อพยพต่างชาติอาศัยอยู่มาก การสังหารที่เกิดขึ้นทำให้คนที่นี่มีความคิดแตกเป็นสองฝ่าย

 

หญิงวัย 25 ปีที่ขอสงวนนามคนหนึ่งบอกว่า "คนที่นี่ไม่ต้องการทำตามกฎหมายสวีเดน" เธอบอกว่าผู้หญิงในย่านนี้ไม่สามารถออกไปข้างนอกหลังเวลาหนึ่งทุ่ม และหากนุ่งกระโปรงสั้นออกไปข้างนอกหลัง 3 ทุ่มก็อาจถูกข่มขืนได้

 

แต่คนอื่น ๆ เช่น ซาดรา เอ็งเซลล์ วัย 28 ปี คิดว่าผู้อพยพกลายเป็นแพะรับบาปของปัญหานี้

 

"ฉันไม่คิดว่ามันเกี่ยวอะไรกับที่ที่คุณมา ผู้หญิงไม่ปลอดภัยเมื่ออยู่กับผู้ชายที่ทุบตีเธอ ไม่ว่าเธอจะมาจากแอฟริกา สวีเดน หรือที่ใดในโลก"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง