ปุ๋ยคอก คืออะไร มีประโยชน์อะไรบ้าง ใช้ยังไงดี | บทความโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล หลายคนยังมองภาพไม่ออกว่า ปุ๋ยคอก คือ ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่ได้มาจากมูลสัตว์ต่างๆ เช่น วัว ควาย หมู ไก่ เป็ด แพะ นกกระทา ฯลฯ โดยมูลสัตว์เหล่านี้จะถูกนำมาตากให้แห้ง หมักหรือย่อยสลาย ก่อนนำมาใช้สำหรับใช้บำรุงดินและพืชผลทางการเกษตร ที่เราต่างก็เคยได้ยินมาตลอดว่า หากปลูกพืชแล้วนำปุ๋ยคอกมาใส่ในระหว่างนั้น ปุ๋ยคอกสามารถช่วยทำให้พืชของเรางามและเจริญเติบโตได้ ที่บางคนก็อาจจะมองภาพไม่ออกว่าปุ๋ยคอกทำงานยังไง แล้วจริงไหมที่พืชสามารถงามได้ตลอดการปลูก มีคำถามหรือความสงสัยเหล่านี้อยู่ในใจไหมคะ? ที่ต้องขอสารภาพค่ะว่า สมัยก่อนผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่มองภาพไม่ออกเลยว่า ปุ๋ยคอกธรรมดาๆ ทำให้พืชงามได้ยังไง จนได้มาเรียนรู้และมีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการของเสียที่สามารถย่อยสลายได้ จึงมองเห็นภาพเรื่องนี้ได้แบบละเอียดมากขึ้น และเป็นความโชคดีค่ะ ที่ในบทความนี้ผู้เขียนจะมาส่งต่อเกี่ยวกับเรื่องปุ๋ยคอก เพราะเชื่อแน่ว่าหลายคงก็ต้องการมีความรู้และความเข้าใจมากขึ้น ที่รับรองว่าอ่านจบรู้เรื่องและเข้าใจมากขึ้นว่าต้องใช้ปุ๋ยคอกประมาณไหนค่ะ ดังนั้นอย่าช้าที่จะอ่านให้จบและนำปุ๋ยคอกมาใส่ในสวนผักหน้าบ้านกัน กับเนื้อหาที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ค่ะ ประโยชน์ของปุ๋ยคอกต่อดินและพืช ปุ๋ยคอกถ้าจัดการไม่มีสามารถเป็นเหตุรำคาญได้จากที่มีกลิ่นรบกวน และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของสัตว์และแมลงพาหนะนำโรคได้ค่ะ ที่ก็สามารถนำมาเป็นร้องเรียนได้ หากบ้านไหนไม่จัดการปุ๋ยคอกให้ดี แต่ถ้าปุ๋ยคอกอยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการบำรุงพืช แบบนี้ปุ๋ยคอกจะกลายเป็นสิ่งมีประโยชน์ค่ะ และต่อไปนี้คือประโยชน์ดีๆ ของปุ๋ยจากมูลสัตว์ต่างๆ 1. เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน อินทรียวัตถุในดินเปรียบเสมือนอาหารหลักที่ช่วยบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ เมื่อเราใส่ปุ๋ยคอกลงไปในดิน อินทรียวัตถุจะค่อยๆ สลายตัวกลายเป็นสารอาหารที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ นอกจากนี้ อินทรียวัตถุยังมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงโครงสร้างของดิน ทำให้ดินร่วนซุย ระบายน้ำและอากาศได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยกระบวนการย่อยสลายของอินทรียวัตถุเกิดขึ้นเมื่อเราใส่ปุ๋ยคอกลงไปในดิน จุลินทรีย์ในดินจะทำหน้าที่ย่อยสลายอินทรียวัตถุให้เป็นสารอาหารที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ กระบวนการนี้จะค่อยๆ เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการย่อยสลาย ได้แก่ ชนิดของอินทรียวัตถุ อุณหภูมิ ความชื้น และปริมาณออกซิเจนในดิน 2. ปรับปรุงโครงสร้างดิน อินทรียวัตถุที่ได้จากการย่อยสลายของปุ๋ยคอกทำหน้าที่เหมือนกาวธรรมชาติที่ช่วยเชื่อมอนุภาคดินขนาดเล็กให้รวมตัวกันเป็นก้อนขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างก้อนดินมากขึ้น ช่องว่างเหล่านี้เปรียบเสมือนทางเดินของอากาศและน้ำ ช่วยให้รากพืชสามารถเจริญเติบโตและดูดซับน้ำและธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดินที่มีอินทรียวัตถุสูงจะมีโครงสร้างเป็นรูพรุนคล้ายฟองน้ำ ทำให้ดินร่วนซุย ระบายน้ำและอากาศได้ดี ในขณะที่ดินที่มีอินทรียวัตถุต่ำ อนุภาคดินอัดแน่นกัน ทำให้ดินแข็งทึบ ระบายน้ำและอากาศได้ไม่ดีค่ะ เมื่อดินได้รับการปรับปรุงโครงสร้าง สถานการณ์นี้ก็ส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากพืช โดยรากพืชสามารถเจริญเติบโตได้อย่างอิสระและดูดซับธาตุอาหารได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันปัญหาดินแฉะและดินแน่นเกินไป ช่วยให้ดินเก็บกักน้ำได้มากขึ้น ช่วยให้พืชสามารถทนต่อสภาวะแห้งแล้งได้ดีขึ้น 3. เพิ่มธาตุอาหารให้พืช ปุ๋ยคอกเป็นแหล่งธาตุอาหารพืชที่สำคัญ โดยเฉพาะไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งเป็นธาตุอาหารหลักที่พืชต้องการในการเจริญเติบโต โดยธาตุอาหารในปุ๋ยคอกจะถูกปล่อยออกมาให้พืชดูดซึมได้อย่างช้าๆ เนื่องจากจุลินทรีย์ในดินจะค่อยๆ ย่อยสลายอินทรียวัตถุในปุ๋ยคอก ทำให้ธาตุอาหารเหล่านี้ค่อยๆ ถูกปล่อยออกมาตามความต้องการของพืช ปุ๋ยคอกจากสัตว์ชนิดต่างๆ จะมีปริมาณธาตุอาหารแตกต่างกัน ควรเลือกใช้ปุ๋ยคอกที่เหมาะสมกับชนิดของพืช 4. เพิ่มจุลินทรีย์ในดิน จุลินทรีย์ในดินเปรียบเสมือนโรงงานผลิตอาหารขนาดเล็กที่ทำงานอยู่ใต้ดิน พวกมันมีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายอินทรียวัตถุให้เป็นธาตุอาหารที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ นอกจากนี้ จุลินทรีย์บางชนิดยังสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศมาใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณไนโตรเจนในดินโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยคอกอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของจุลินทรีย์ในดิน เมื่อเราใส่ปุ๋ยคอกลงไปในดิน จุลินทรีย์จะทำการย่อยสลายอินทรียวัตถุเหล่านี้เพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์ ซึ่งกระบวนการย่อยสลายอินทรียวัตถุโดยจุลินทรีย์ มีดังนี้ จุลินทรีย์สร้างเอนไซม์: จุลินทรีย์จะปล่อยเอนไซม์ออกมาเพื่อย่อยสลายโมเลกุลอินทรีย์ที่ซับซ้อนให้เป็นโมเลกุลที่เล็กลง ดูดซึมสารอาหาร: จุลินทรีย์จะดูดซึมสารอาหารที่ได้จากการย่อยสลายเข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโต ผลิตสารอินทรีย์: ในระหว่างกระบวนการย่อยสลาย จุลินทรีย์จะผลิตสารอินทรีย์ต่างๆ ออกมา เช่น กรดอินทรีย์ ซึ่งช่วยปรับปรุงคุณภาพของดิน คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า จริงๆ แล้วปุ๋ยคอกสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อดินและพืชได้หลายวิธี เช่น ผสมดินก่อนปลูก: นำปุ๋ยคอกไปผสมกับดินก่อนปลูกพืช เพื่อปรับปรุงสภาพดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช โรยรอบโคนต้น: โรยปุ๋ยคอกรอบโคนต้นพืช เพื่อเป็นการให้ปุ๋ยแก่พืช ฝังกลบ: ฝังกลบปุ๋ยคอกในดิน เพื่อเพิ่มปริมาณอินทรีย์วัตถุในดิน และการตากปุ๋ยคอกให้แห้งก่อนนำมาใช้ เป็นขั้นตอนสำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามไป แต่จริงๆ แล้วมีประโยชน์มากมายเลยค่ะ และเหตุผลที่ควรตากปุ๋ยคอกให้แห้งก่อนนั้น ทำไปก็เพื่อ ลดปริมาณน้ำ: การตากแห้งจะช่วยลดปริมาณน้ำในปุ๋ยคอก ทำให้สามารถจัดเก็บได้สะดวกขึ้น ไม่เกิดเชื้อรา และลดน้ำหนักในการขนย้าย ลดกลิ่นเหม็น: ปุ๋ยคอกสดมักมีกลิ่นเหม็นรุนแรง การตากแห้งจะช่วยลดกลิ่นเหม็นเหล่านี้ลงได้ ฆ่าเชื้อโรค: ความร้อนจากแสงแดดจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและพยาธิต่างๆ ที่ปะปนอยู่ในปุ๋ยคอก ทำให้ปุ๋ยที่ได้มีความสะอาดและปลอดภัยต่อพืชและผู้ใช้มากขึ้น เร่งกระบวนการย่อยสลาย: การตากแห้งจะช่วยให้ปุ๋ยคอกสลายตัวเร็วขึ้น ทำให้พืชสามารถนำธาตุอาหารไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ป้องกันแมลง: ปุ๋ยคอกที่แห้งจะดึงดูดแมลงน้อยลง ทำให้ไม่เกิดปัญหาแมลงมากวนพืชค่ะ แต่มีข้อควรระวัง คือ อย่าตากปุ๋ยคอกนานเกินไป เพราะการตากนานเกินไปอาจทำให้ธาตุอาหารบางชนิดระเหยหายไปได้ค่ะ และนอกจากการตากแห้งแล้ว การหมักปุ๋ยคอกก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ได้ปุ๋ยที่มีคุณภาพดีขึ้นค่ะ โดยหลายคนอาจสงสัยว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อความเร็วในการดูดซับธาตุอาหารจากปุ๋ยคอกของพืช ที่ต้องบอกว่ามีหลายอย่างมากค่ะ ดังนี้ ระดับความสลายตัว: ปุ๋ยคอกที่ผ่านการหมักย่อยสลายจนละเอียดแล้ว พืชจะดูดซับธาตุอาหารได้ง่ายและรวดเร็วกว่าปุ๋ยคอกสด การผสมคลุกเคล้า: การผสมปุ๋ยคอกกับดินอย่างทั่วถึงจะช่วยให้รากพืชสามารถสัมผัสกับปุ๋ยได้โดยตรง ทำให้การดูดซับธาตุอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ชนิดของพืช: พืชแต่ละชนิดมีระบบรากและความต้องการธาตุอาหารแตกต่างกัน การดูดซับธาตุอาหารจึงมีความแตกต่างกันไป สภาพดิน: สภาพดินที่ร่วนซุย ระบายน้ำและอากาศได้ดี จะเอื้อต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในดิน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายปุ๋ยคอกและปลดปล่อยธาตุอาหารให้พืช และวิธีการเร่งให้พืชดูดซับธาตุอาหารจากปุ๋ยคอกได้เร็วขึ้น ให้ทำตามนี้ค่ะ หมักปุ๋ยคอกให้สลายตัว: ก่อนนำปุ๋ยคอกไปใช้ ควรหมักให้สลายตัวจนละเอียด เพื่อให้พืชสามารถดูดซับธาตุอาหารได้ง่ายขึ้น ผสมปุ๋ยคอกกับดิน: ควรผสมปุ๋ยคอกกับดินก่อนปลูก หรือโรยปุ๋ยคอกรอบโคนต้น แล้วกลบดิน เพื่อให้รากพืชสามารถสัมผัสกับปุ๋ยได้โดยตรง รดน้ำให้เพียงพอ: การรดน้ำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ปุ๋ยคอกละลายและธาตุอาหารเคลื่อนที่เข้าสู่รากพืชได้ง่ายขึ้น ปลูกพืชคลุมดิน: การปลูกพืชคลุมดินจะช่วยรักษาความชื้นในดิน ป้องกันการชะล้างของปุ๋ย และเพิ่มปริมาณอินทรีย์วัตถุในดิน โดยกระบวนการเปลี่ยนปุ๋ยคอกให้กลายเป็นธาตุอาหาร ที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้นั้นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน และอาศัยปฏิสัมพันธ์ของปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงจุลินทรีย์ในดิน สภาพแวดล้อม และคุณสมบัติของปุ๋ยคอกเองค่ะ และกระบวนการโดยสรุปสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักๆ ดังนี้ การย่อยสลายของอินทรียวัตถุ จุลินทรีย์เข้าทำมาหน้าที่: จุลินทรีย์ต่างๆ ในดิน เช่น แบคทีเรีย รา และเชื้อรา จะเข้ามาทำการย่อยสลายอินทรียวัตถุที่อยู่ในปุ๋ยคอกให้เป็นสารประกอบที่เล็กลงและง่ายต่อการดูดซึม การปลดปล่อยธาตุอาหาร: ในระหว่างกระบวนการย่อยสลายนี้ ธาตุอาหารต่างๆ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม จะถูกปลดปล่อยออกมาจากอินทรียวัตถุ และอยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ การเปลี่ยนแปลงรูปของธาตุอาหาร การเปลี่ยนแปลงทางเคมี: ธาตุอาหารที่ถูกปลดปล่อยออกมาจะผ่านการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในดิน ทำให้ธาตุอาหารอยู่ในรูปที่พืชสามารถดูดซึมได้ การตรึงไนโตรเจน: ในกรณีของไนโตรเจน บางส่วนจะถูกตรึงโดยแบคทีเรียตรึงไนโตรเจน เพื่อเปลี่ยนเป็นสารประกอบไนโตรเจนที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ การดูดซึมโดยรากพืช: รากพืชดูดซึม: เมื่อธาตุอาหารอยู่ในรูปที่เหมาะสม รากพืชจะดูดซึมธาตุอาหารเหล่านี้เข้าไปในร่างกาย และนำไปใช้ในการเจริญเติบโตและพัฒนา จากที่ผู้เขียนได้มีประสบการณ์มานั้น ดูเหมือนว่าปุ๋ยคอกจากมูลวัวเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่คนทำการเกษตรหรือปลูกพืชมักนิยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายค่ะ เนื่องจากมีประโยชน์ในการปรับปรุงสภาพดินและเป็นแหล่งอาหารสำหรับพืช โดยเฉพาะธาตุอาหารหลักที่พบมากในปุ๋ยคอกจากมูลวัว คือ ไนโตรเจน ซึ่งการใช้ปุ๋ยคอกจากมูลวัวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยที่สุดกับผู้เขียนค่ะ เพราะที่นี่เลี้ยงวัวค่ะ เป็นวัวของน้องสาวกับแม่ของผู้เขียน เลยมีโอกาสได้มูลแห้งแบบฟรีๆ มาใช้ประโยชน์ การปุ๋ยคอกไม่ว่าจะจากมูลสัตว์ชนิดไหนก็ตามแต่ เป็นวิธีที่ผู้เขียนชอบค่ะ เพราะว่าแนวทางนี้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการใช้ปุ๋ยคอกจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า และเหตุผลว่าทำไมการใช้ปุ๋ยคอกจึงเป็นวิธีการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีดังนี้ 1. เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน สร้างโครงสร้างดินที่ดี: ปุ๋ยคอกช่วยเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ดินร่วนซุย ระบายน้ำและอากาศได้ดีขึ้น รากพืชสามารถเจริญเติบโตได้ดีขึ้น เพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำ: ดินที่มีอินทรียวัตถุสูงจะสามารถอุ้มน้ำได้ดีขึ้น ช่วยลดปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน และช่วยให้พืชสามารถทนแล้งได้ดีขึ้น 2. ปล่อยธาตุอาหารให้พืชอย่างช้าๆ ธาตุอาหารหลากหลาย: ปุ๋ยคอกมีธาตุอาหารพืชหลากหลายชนิด เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และธาตุอาหารรองอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช ปล่อยธาตุอาหารทีละน้อย: ธาตุอาหารในปุ๋ยคอกจะถูกปล่อยออกมาสู่ดินอย่างช้าๆ ทำให้พืชได้รับธาตุอาหารอย่างต่อเนื่อง ไม่เกิดการสูญเสีย และลดความเสี่ยงของการชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ 3. ลดการใช้ปุ๋ยเคมี ลดมลพิษ: การใช้ปุ๋ยคอกช่วยลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมี ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการปนเปื้อนสารเคมีในดินและแหล่งน้ำ ลดต้นทุน: การผลิตปุ๋ยคอกจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ทำให้ลดต้นทุนการผลิตได้ 4. ส่งเสริมระบบนิเวศในดิน เพิ่มจำนวนจุลินทรีย์: ปุ๋ยคอกเป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ในดิน ช่วยให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตได้ดี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายอินทรียวัตถุและตรึงไนโตรเจน สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ: จุลินทรีย์ที่หลากหลายจะช่วยให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์และมีความสามารถในการต้านทานโรคและแมลงได้ดีขึ้น 5. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: การผลิตปุ๋ยคอกไม่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับการผลิตปุ๋ยเคมี นำวัสดุเหลือใช้กลับมาใช้ประโยชน์: การนำมูลสัตว์และเศษพืชมาทำเป็นปุ๋ยคอก ช่วยลดปริมาณขยะและนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า และจริงมากค่ะว่า การใช้ปุ๋ยคอกช่วยลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมี ทำให้ลดต้นทุนการผลิต และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งตั้งแต่ผู้เขียนได้ปลูกผักเล็กๆ น้อยหน้าบ้าน ด้วยการใส่ปุ๋ยคอกเป็นหลักมานั้น ยังไม่เคยซื้อปุ๋ยเคมีมาใช้เลยค่ะ เพราะจากที่สังเกตมานั้นความจำเป็นแทบจะไม่มีเลย เนื่องจากพืชผักก็งามดีและให้ผลผลิตตามที่ควรจะเป็นค่ะ อย่างไรก็ตามปุ๋ยคอกที่เราใส่ไปมีวันหมดอายุ โดยคำนี้ผู้เขียนหมายความว่า ธาตุอาหารที่ได้มีจำกัด เมื่อเวลาผ่านไปธาตุอาหารนี้ก็หมดไป จึงไม่ได้หมายความว่า ใส่ปุ๋ยคอกไปแล้วพืชจะมีธาตุอาหารแบบตลอดชีพ แต่ยังต้องมีการเติมหรือใสปุ๋ยคอกเป็นระยะ ซึ่งการสังเกตพืชเป็นประจำจะช่วยให้เราทราบว่าพืชขาดธาตุอาหารชนิดใด และควรใส่ปุ๋ยคอกเพิ่มเติมหรือไม่ค่ะ พืชที่ขาดธาตุอาหารมักแสดงอาการผิดปกติที่สังเกตเห็นได้ชัด เช่น ใบแก่เหลืองก่อน ใบอ่อนมีขนาดเล็ก และมีสีซีด การเจริญเติบโตช้า การใส่ปุ๋ยคอกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดินและปรับปรุงโครงสร้างดิน ทำให้พืชได้รับธาตุอาหารอย่างต่อเนื่อง และทั้งหมดนั้นคือเนื้อหาสาระเกี่ยวกับปุ๋ยคอกที่มีประโยชน์ต่อดินและพืชค่ะ จะเห็นได้ว่าการใช้ปุ๋ยคอกยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ที่สามารถช่วยบำรุงดินและพืชได้ รูปภาพของพืชทั้งหมดในบทความนี้ เป็นตัวอย่างของการใช้ปุ๋ยคอกจริงๆ จากประสบการณ์ของผู้เขียนค่ะ อ่านมาถึงตรงนี้คงพอจะมองเห็นภาพแล้วนะคะ และผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากชอบบทความแบบนี้อีก ก็อย่าลืมกดติดตามหรือกดบุ๊กมาร์กหน้าโปรไฟล์ไว้นะคะ เพราะจะได้ไม่พลาดบทความใหม่ๆ ที่จะได้นำมาเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปกและภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน ออกแบบภาพหน้าปกโดยผู้เขียนใน Canva เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่น่าสนใจโดยผู้เขียน https://news.trueid.net/detail/mqEYD511mMAq https://news.trueid.net/detail/3Wa9Kv8YD4lW https://news.trueid.net/detail/wvR6QzbOBRYv เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !