คู่มือเทรดหุ้นสายกราฟสำหรับมือใหม่ ครีเอเตอร์เห็นหน้าปกก็รู้สึกสนใจขึ้นมาแล้ว หลังจากลงทุนหุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานแล้ว รู้สึกว่าที่ผ่านมาเราต้องเปลี่ยนตลาดไปฝากความหวังไว้กับตลาดหุ้นต่างประเทศ สิ่งนี้ทำให้ครีเอเตอร์สะเทือนใจว่าการลงทุนหุ้นจะหวังเรื่องระยะยาวอย่างเดียวไม่ได้ เพราะความไม่แน่นอน คือสิ่งที่แน่นอน วิกฤติแปลกๆมักเกิดขึ้นได้เสมอ และดูเหมือนว่าการลงทุนหุ้นไทยจะฝากความหวังไม่ได้เลย การเก็งกำไรจึงเป็นสิ่งที่ครีเอเตอร์อยากศึกษา รู้ว่ามันยากที่จะตีความหมายของกราฟ คนส่วนใหญ่ซื้อหรือขายมากกว่ากัน แล้วเราหาทางชิงความได้เปรียบจากจุดนั้นได้ ผลงานของนิมิต วิทย์ศลาพงษ์ เจ้าของเพจ Daddy Trader จะมาให้ความรู้ลงทุนหุ้นสายเทคนิคกันครับ ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1.ความหมายของการวิเคราะห์ทางเทคนิคในแบบของเล่มนี้จะเป็นการศึกษาพฤติกรรมของทั้งฝั่งซื้อ (Demand) และฝั่งขาย (Supply) ที่เข้ามาเทรดในตลาดเพื่อประเมินสถานการณ์ของตลาด ณ ขณะนั้นว่า ฝั่งใดมีความกระตือรือร้นในการลงมือมากกว่ากัน โดยใช้ข้อมูลราคา ปริมาณการซื้อขาย และสถานะคงค้าง เป็นตัวสะท้อนพฤติกรรมที่เกิดขึ้น และเมื่อเราประเมินสถานการณ์ตลาดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้แล้ว ก็จะเกิดมุมมองในเชิงกลยุทธ์ที่สามารถนำไปออกแบบวิธีการเทรดที่สร้างความได้เปรียบได้ 2.วิธีนําความรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคไปใช้งาน สำหรับผู้ที่สนใจนําแนวทางการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาประกอบการตัดสินใจเทรด มีวิธีนําความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาใช้งานที่ ได้รับความนิยมและใช้งานอย่างแพร่หลายอยู่ 2 วิธี ได้แก่ 1. ตัดสินใจลงมือเทรดด้วยข้อมูลจากกราฟ (Chartist) 2. การเทรดแบบเป็นระบบ (System Trader) 3.Chartist ชื่อเรียกของกลุ่มคนที่ใช้แนวทางในการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ตัดสินใจ ลงมือเทรดจากการวิเคราะห์กราฟ คือ “Chartist” กลุ่มคนเหล่านี้เวลา วิเคราะห์ข้อมูลจะต้องมีตัวช่วย คือ โปรแกรมวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค ที่ช่วยวาดกราฟราคา กราฟปริมาณการซื้อขาย กราฟอินดิเคเตอร์แบบอัตโนมัติ และมีเครื่องมือในการวาดเส้นหรือใส่คอมเมนต์เพิ่มเติมลงในกราฟ ซึ่งรูปกราฟที่โปรแกรมวาดขึ้นมาจะถูกนําไปแปลผลเกี่ยวกับสถานการณ์ของตลาด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อวางแผนว่าควรจะลงมือเทรดหรือไม่ หากตัดสินใจ ลงมือเทรดจะลงมือทางฝั่งไหน และควรที่จะลงมือเทรดในจังหวะใด 4.System Trader คนกลุ่มนี้จะใช้ความรู้ ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาเป็นไอเดียในการกำหนดกลุ่มของเงื่อนไข (Conditions) ว่าเมื่อไหร่จึงจะลงมือเทรด เราเรียกกลุ่มของเงื่อนไขเหล่านี้ว่า “ระบบเทรด” เมื่อสถานการณ์การซื้อขายในตลาดเข้าเงื่อนไขตามที่กำหนด เราจะเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “เกิดสัญญาณให้ลงมือเทรด” ซึ่ง System Trader ก็จะตัดสินใจลงมือเทรดตามสัญญาณที่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างระบบเทรดอย่างง่าย เช่น ถ้าเรากำหนดเงื่อนไขว่า เมื่อ เส้น EMA(5) ตัดเส้น EMA (20) ขึ้นไปให้เป็นสัญญาณลงมือซื้อ และเมื่อ เส้น EMA(5) ตัดเส้น EMA (20) ลงมาให้เป็นสัญญาณลงมือขาย เราจะได้ จุดลงมือซื้อและลงมือขายตามภาพ 5.ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในช่วงที่มีจังหวะเทรดที่ดี แต่อาจยังไม่ใช่จังหวะลงมือเทรดที่ดี จังหวะที่ดีเป็นตัวบอกว่า ณ ปัจจุบันที่ระดับราคาในโซนนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เราควรติดตามตลาดให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพราะมีโอกาสสูงที่น่าจะเกิดจังหวะลงมือซื้อขายที่ดีในอนาคตอันใกล้ 6.การหาจังหวะลงมือเทรดที่ดีจะมีแนวความคิดว่า เป็นจังหวะที่ตลาดมีแสดงพฤติกรรม บางอย่างที่สนับสนุนการตัดสินใจลงมือ จนทำให้เรามั่นใจว่าการลงมือเทรดในครั้งนั้นๆ ทำให้เรามีความได้เปรียบอย่างชัดเจน 7.ความรู้ที่ใช้ในการหาจังหวะลงมือเทรดที่ดีคือ 1. การหาจังหวะที่ควรลงมือส่งคำสั่งซื้อขาย (Trade Trigger) 2. การใช้ตัวกรองสัญญาณหลอก (Filters) 3. ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Indicators) 8.Time Frame คือ ช่วงเวลาที่เราใช้ในการวาดกราฟ 1 ตำแหน่ง หากเราใช้งานกราฟเส้น (Line Chart) ในแต่ละช่วงเวลาตาม Time Frame ที่เรากำหนดจะนำข้อมูลราคาหนึ่งตัวมาแสดง (ส่วนใหญ่ใช้ราคาปิด) กราฟเส้นที่เราเห็นจะเป็นการลากเส้นเชื่อมจุดที่เรียงต่อเนื่องกัน แต่ถ้าหากเราใช้งานกราฟแท่งเทียน กราฟแท่งเทียนที่เราเห็น 1 แท่งจะเกิดจากการนําราคาเปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด และราคาปิดของแต่ละช่วงเวลาตาม Time Frameที่เราเลือกมาวาดเป็นกราฟ 9.จากจุดเริ่มต้นที่เราไม่ได้อ่านกราฟเพื่อคาดการณ์ทิศทางในอนาคต แต่อ่านกราฟเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันที่จะแปลผล คือ สั่งซื้อหรือฝั่งขายมีแรงมากกว่า สั่งซื้อหรือฝั่งขายมีความกระตือรือร้นในการลงมือมากกว่า เมื่อเรารู้ว่าฝั่งไหนมีแรงมากกว่า หรือมีความกระตือรือร้นลงมือมากกว่า เราก็ควรจะเลือกเทรดตามฝั่งที่มีแรงมากกว่า เพราะจะทำให้โอกาสที่ผลการเทรดจะออกมาเป็นกำไรมีมากกว่าโอกาสที่ผลการเทรดจะออกมาเป็นขาดทุน เมื่อเราเห็นว่าราคามีการปรับตัวขึ้นหรือลงก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลก็ได้ว่าทำไมราคาถึงมีการเคลื่อนที่แบบนั้น คนที่เข้ามามีส่วนร่วมในตลาดทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขายต่างมีเหตุผลของตัวเอง ซึ่งเหตุผลของการลงมือจะมาจากปัจจัยใดก็ตาม แต่ผลของทุกปัจจัยรวมกันทำให้ ณ ช่วงเวลานั้น การเคลื่อนที่ของราคาถูกผลักดันไปในทิศทางของฝั่งที่มีแรงมากกว่าหรือมีพวกมากกว่า 10.เทคนิค Trailing Stop จะใช้วิธีการกำหนดระดับราคาปกป้องกำไร โดยถ้ากราฟราคาเคลื่อนที่มาถึงระดับนี้แล้วเราก็จะตัดสินใจ Exit เพื่อปกป้องกําไรที่ควรได้ไม่ให้ลดต่ำลงกว่านี้ ถ้าหากกราฟราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่กำไรเพิ่มขึ้น ก็จะขยับระดับราคาปกป้องกำไรให้ติดตามกราฟที่เคลื่อนที่ด้วย แต่ถ้ากราฟปรับตัวในทิศทางที่ทำให้กำไรลดลงชั่วคราว (แต่ยังไม่ถึงจุดออกเพื่อทำกำไร หรือ Take Profit) จะไม่มีการปรับระดับราคาปกป้องกำไรตามทิศทางของกราฟ เพราะจะทำให้กำไรที่ต้องการปกป้องไว้ลดลงในการใช้เทคนิค Trailing Stop จะมีเครื่องมือทางเทคนิคหลากหลายให้เราเลือกใช้ในการติดตามกราฟและกำหนดระดับราคาที่จะใช้ปกป้องกำไร เช่น ส่วนต่างราคา (Spread) แนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance : SARS) จุดสูงสุด/ต่ำสุด (H/L) และ Indictors ซึ่งจะใช้เครื่องมือใดก็ตาม เทคนิคในการติดตามราคาและปกป้องกำไรจะเหมือนกัน 11.Time Frame ที่สั้นลงจะช่วยให้เห็นรายละเอียดของราคามากขึ้น เหมาะหาจังหวะลงมือเทรด หากว่ามันสอดคล้องกับ Time Frame หลักที่เราดู (ซึ่งมีช่วงเวลายาวกว่า Time Frame สั้น) ความสอดคล้องนั้นหมายถึงสัญญาณสนับสนุนว่าให้ซื้อ/ขาย แต่ถ้าไม่สอดคล้องกับ Time Frame หลัก มันสวนทางขัดแย้ง จะถือว่ายังไม่ใช่จังหวะเทรดที่ดี 12.จังหวะเทรดฝั่งซื้อ (กราฟทิศทางแนวโน้มระยะกลางเป็นขาขึ้น) มี 2 จังหวะ 1.หาจังหวะซื้อตอนที่กราฟราคากำลังสร้างจุดต่ำสุดระยะกลาง 2.หาจังหวะซื้อเมื่อเกิดการปรับฐานระยะสั้น หรือกำลังสร้างจุดต่ำสุดระยะสั้น ขณะที่กราฟราคามีทิศทางของแนวโน้มเป็นขาขึ้นระยะกลาง 13.การวิเคราะห์ Indicators สำคัญน้อยกว่าวิเคราะห์กราฟราคา เพราะ Indicators ไม่ได้ใช้งานเพื่อตัดสินใจลงมือเทรด แต่ใช้เพื่อสนับสนุนการเทรดว่ามันขัดแย้งกับที่เรากำลังจะซื้อ/ขายหรือเปล่า โดย Indicators ใช้งาน 2 วิธีคือ ใช้เป็นตัวกรองสัญญาณหลอก และใช้เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้า เชื่อว่าต่อจากนี้การลงทุนเก็งกำไรจะมีมากขึ้น ความศรัทธาการลงทุนแบบเน้นปันผลคงจะน้อยลง หากลงทุนหุ้นในสัดส่วนที่มากพอจนสั่งผู้บริหารว่าต้องทำอะไรเหมือนวอร์เรน บัฟเฟตต์ สาย Value Investor ถ้าทำได้แบบนี้ค่อยว่ากัน เครดิตภาพ ภาพปก โดย Hanna Pad จาก pexels.com ภาพที่ 1 2 3 และ 4 โดยผู้เขียน บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ PASSIVE INCOME รีวิวหนังสือ YOU ARE YOUR MONEY COACH โค้ชการเงินที่ดีที่สุดคือตัวคุณเอง รีวิวหนังสือ มนุษย์เงินเดือนต้องรอด The Woke Salaryman เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !