ในยุคปัจจุบัน เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษามีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระบบปิด เช่น ในสถาบันการศึกษาในระดับต่าง ๆ หรือการศึกษาในระบบเปิด เช่น การศึกษานอกโรงเรียน หรือการศึกษาตามอัธยาศัยต่าง ๆหลายคนก็มีความมุ่งมั่นที่จะเรียนให้ได้ถึงระดับสูงสุด เพื่อยกระดับตนเอง และเพื่อประโยชน์ในภายภาคหน้า เช่น การทำงาน และโอกาสอื่น ๆ ที่อาจจะเข้ามาในชีวิต บางคนก็เรียนตามความคาดหวังของครอบครัว แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม การศึกษาก็เป็นสิ่งดีทั้งสิ้นและใครที่กำลังคิดว่า อยากเป็นด็อกเตอร์ ลองฟังทางนี้!!!หลายคนมักจะคิดกันว่า การจะเป็นด็อกเตอร์ได้นั้น ไม่ง่าย ต้องเก่งเท่านั้น ถึงจะเรียนได้ ซึ่งที่จริงแล้ว การเรียนปริญญาเอกนั้น คือการเพิ่มเติมความรู้ในแขนงที่สนใจให้ลึกซึ้งขึ้น และที่สำคัญพอ ๆ กับความรู้ คือการทดสอบจิตใจของตัวเองการเรียนด็อกเตอร์นั้น ขึ้นอยู่กับหลักสูตรของแต่ละสถาบันของแต่ละประเทศ ซึ่งในที่นี้จะขอพูดถึงการเรียนในประเทศไทยเท่านั้น เนื่องจากเป็นที่กล่าวขานว่า ยากเหลือเกิน...หลักสูตรปริญญาเอกในประเทศไทยนั้น มีชื่อเรียกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาดุษฎีบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตตามชื่อคณะนั้น ๆ เช่น วิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต เป็นต้น สำหรับปรัชญาดุษฎีบัณฑิตนั้น เป็นชื่อที่เรียกอย่างกว้าง ๆ ซึ่งหมายถึงการรวมองค์ความรู้ทั้งสายวิทย์ สายศิลป์ ฯลฯ ในขณะที่วิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต หรือ ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตนั้น เป็นองค์ความรู้เฉพาะทางตามชื่อปริญญานั้น ซึ่งในประเทศไทย มีปรัชญาดุษฎีบัณฑิตอยู่เป็นจำนวนมากกว่าสำหรับโครงการและหลักสูตรก็มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งหลักสูตรภาคภาษาไทย หลักสูตรสองภาษา หลักสูตรนานาชาติ รวมไปถึงหลักสูตรในเวลาราชการ และนอกเวลาราชการ เรียกได้ว่า เลือกกันได้ตามความสะดวก ใครที่สามารถเรียนในเวลาราชการได้ ก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องเวลามากนัก เรียกว่า ใช้เวลาได้เต็มที่ ซึ่งหมายรวมถึงผู้ที่ลาเรียนได้เต็มเวลาด้วยเช่นกัน แต่สำหรับคนที่ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ก็อย่าเพิ่งถอดใจ เพราะเราก็สามารถทำได้เช่นกัน เพียงแค่ต้องจัดสรรเวลาให้ดี และมีประสิทธิภาพ รวมถึงยอมเหนื่อย ยอมอดหลับอดนอน ฯลฯ แล้วจะเลือกเรียนอะไรดี??? ปัญหาโลกแตกสำหรับหลาย ๆ คนคนที่รู้ความชอบหรือเป้าหมายของตัวเองแล้ว ก็คงเป็นเรื่องง่าย แต่คนที่ยังอยู่ระหว่างการตัดสินใจ อาจจะลังเลอยู่บ้างสิ่งแรกที่ต้องเข้าใจก่อนคือ ความคาดหวังจากสังคมหรือคนรอบข้าง มักจะมองว่า การเรียนปริญญาเอกนั้น ต้องจบออกมาเพื่อทำงานด้านวิชาการเป็นหลัก (ซึ่งอาจรวมถึงการวิจัยด้วย) แต่...ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ก็ยังมีกลุ่มคนอีกบางส่วน ที่ต้องการเรียนเพื่อความรู้ ยกระดับตนเอง และการทำงาน แต่ไม่ใช่เพื่อการเป็นครู หรือทำงานทางสายวิชาการเต็มตัว ดังนั้นควรเลือกเรียนจากความชอบ ความสนใจ ความถนัด หรือตามแผนในอนาคต น่าจะเหมาะที่สุด เตรียมตัวยังไง???ในปัจจุบัน สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ จะรับผู้ที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้1. จบการศึกษาปริญญาโท เกรดไม่ต่ำกว่า 3.00 หรือ 3.25 แล้วแต่สาขาวิชา2. มีผลสอบภาษาอังกฤษ แล้วแต่สถาบันว่า จะให้สอบแบบทดสอบมาตรฐานของโลก เช่นTOEFL, IELTS หรือของสถาบัน หรือสามารถใช้อะไรแทนกันได้หรือไม่ อย่างไร3. มีโครงร่างหัวข้อวิจัยที่ต้องการทำวิทยานิพนธ์4. บางสาขาวิชา มีสอบข้อเขียน และสัมภาษณ์ บางสาขาสอบสัมภาษณ์เพียงอย่างเดียว ซึ่งแน่นอนว่า การสัมภาษณ์รวมถึงการนำเสนอโครงร่างหัวข้อวิจัยด้วย เรียนอะไรบ้าง??? ที่จริงแล้ว เนื้อหาวิชาที่เรียนนั้น ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากการเรียนปริญญาโทมากนัก เพียงแต่ลงลึกมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการสอบ Qualifying Exam ซึ่งก็ไม่แตกต่างจาก Comprehensive Exam ของปริญญาโทเลย เพียงแต่ต้องเขียนให้ลึกซึ้งและวิเคราะห์ได้มากกว่าเดิมเท่านั้น ซึ่งบางสถาบัน อาจมีการสอบข้อเขียนและสอบปากเปล่าควบคู่กันไป การสอบ Qualifying Exam นั้น บางสถาบันอาจจัดสอบในห้องสอบเหมือนการสอบทั่วไป บางสถาบันเป็นการสอบแบบ take home คือนำข้อสอบกลับมาทำที่บ้าน ข้อดีของการสอบในห้องสอบคือ สอบเสร็จแล้วก็ถือว่าหมดภาระในการสอบไป แล้วก็รอลุ้นผลสอบ สำหรับข้อจำกัดคือ มีเวลาจำกัดในการสอบ เช่น 3 ชั่วโมง บางครั้งอาจทำให้นึกคำตอบได้ไม่ครอบคลุมมากพอ หรืออาจเขียนตอบไม่ทัน สำหรับการสอบแบบ take home มีข้อดีคือ มีเวลาในการเขียนตอบมาก สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ และอาจขอคำแนะนำจากบุคคลต่าง ๆ ได้ ข้อจำกัดคือ ถ้าไม่จัดระเบียบตัวเองและเวลาให้ดี อาจทำข้อสอบได้ไม่ทันกำหนดส่งแนะนำว่าการสอบแบบ take home นี้ นักศึกษาควรทำด้วยตัวเอง โดยเฉพาะโครงการที่มีการสอบปากเปล่าควบคู่ไปด้วย เพราะนักศึกษาเองเท่านั้น ที่จะต้องตอบคำถามคณะกรรมการในเวลาสอบปากเปล่าในการเรียนแต่ละวิชา นอกจากการบรรยาย การระดมความคิด การอภิปรายต่าง ๆ แล้ว อาจารย์ผู้สอนมักให้โปรเจคนักศึกษา โดยให้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยในงานต่าง ๆ เหล่านั้น แรก ๆ อาจจะรู้สึกว่ายาก แต่ทุกคนที่ผ่านการเรียนปริญญาโทมาแล้ว คงจะมีไอเดียและความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำวิจัยไม่มากก็น้อย เพราะได้ลงมือทำงานวิจัยเพื่อขอจบปริญญาโทอยู่แล้ว และเมื่อได้เรียนวิชาวิธีการวิจัยเพิ่มเติมเข้าไป ก็จะสามารถลงมือทำโปรเจคต่าง ๆ ได้ดีขึ้นโปรเจคเหล่านี้สำคัญมาก เพราะบางคน อาจได้หัวข้อวิทยานิพนธ์ที่ถูกใจ จากโปรเจคเหล่านี้เลยก็ได้ และข้อดีอีกอย่างคือ หากนักศึกษาทำหัวข้อวิจัยจากโปรเจคเหล่านี้ นั่นคือการประหยัดเวลา เพราะได้รวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องไว้บ้างแล้วช่วงเวลาที่หลายคนกังวลมากที่สุด ก็คงเป็นช่วงการทำวิทยานิพนธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบเค้าโครงและการสอบเพื่อขอจบเป็นเรื่องปกติที่นักศึกษาจะกังวลกัน เพราะถือเป็นการสอบใหญ่ แต่...อย่าลืมว่า "เรา" คือคนที่รู้มากที่สุดในวิทยานิพนธ์เล่มนั้น ในการสอบไม่มีผิดถูก เพียงแต่ผู้วิจัยสามารถแสดงให้คณะกรรมการสอบเชื่อมั่นในงานวิจัยได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น ดังนั้น นักศึกษาจะต้องมีทั้งความรู้ในเรื่องของวิทยานิพนธ์นั้น รวมถึงทักษะการนำเสนอประกอบกันด้วยเวลาในช่วงการทำวิทยานิพนธ์ เป็นช่วงพิสูจน์ใจอย่างมาก เพราะต้องเผชิญกับความท้อแท้ในการหางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ต้องใช้เวลากับการอ่าน การติดต่อกับคน เช่น อาจารย์ที่ปรึกษา กรรมการจากภายนอก เจ้าของภาษาที่จะต้องตรวจภาษาให้ (ในกรณีเขียนเป็นภาษาต่างประเทศ) ฯลฯเพื่อนสำคัญมากสำหรับการเรียนระดับบัณฑิตศึกษา (ย้ำว่าเพื่อนที่ช่วยเหลือเราเท่านั้น) พยายามพูดคุยเพื่อหาเพื่อนที่มีหัวข้อคล้ายหรือในทางเดียวกับเรา เพราะเวลาที่เห็นบทความ จะได้นำมาแบ่งปันกัน วิธีนี้จะทำให้การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องทำได้ง่ายและมีข้อมูลมากขึ้น แต่ก็อย่าลืมแบ่งปันและแชร์ความรู้กับเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ทำวิจัยคนละด้านกับเราด้วยด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่า การเรียนปริญญาเอกไม่ใช่สิ่งที่ยากหรือไกลเกินตัว ขอเพียงมีความตั้งใจและมุ่งมั่นมาเป็นอันดับแรก สำหรับความรู้และประสบการณ์ สามารถเพิ่มเติมได้ระหว่างที่เรียนยินดีให้คำปรึกษา คำแนะนำในการเรียนต่อปริญญาเอก ในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์มาก่อน และในฐานะ อ.พิเศษ ด้านวิชาภาษาอังกฤษ ของมหาวิทยาลัยเอกชน ติวเตอร์ภาษาอังกฤษและไทย ล่ามและนักแปล By: Julie Wu (Credit: www.canva.com)juliewuthelittlestar@gmail.com เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !