หุ้นรับเหมาซึมพิษการเมือง บล.กสิกรฯ ชอบ CK
บล.กสิกรไทย ชี้หุ้นรับเหมาก่อสร้างอ่อนไหวต่อการเมือง มี CK เป็นหุ้นเด่น กังวลปัจจัยเสี่ยง ความล่าช้าการประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐาน การขาดแคลนแรงงาน การปรับขึ้นค่าแรง และความไม่สงบทางการเมือง
บล.กสิกรไทย ระบุว่า กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความอ่อนไหวต่อการเมือง การเทขายหุ้นกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้างเมื่อไม่นานนี้ น่าจะมาจากนโยบายที่ไม่เป็นมิตรต่อธุรกิจและสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น เราสรุปปัจจัยลบ 3 ประการ ได้แก่ 1) การเปิดตัวโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ลดลง 2) การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า และ 3) แรงกดดันต่ออัตรากำไร
จากสถานการณ์ทางการเมืองที่ผันผวน เราคงมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจ โดยมี CK หุ้นเด่นของเรา แต่จะกลับมาทบทวนคำแนะนำของเราเมื่อมีความชัดเจนทางการเมือง
ความไม่แน่นอนทางการเมือง หุ้นกลุ่มธุรกิจบริการรับเหมาก่อสร้างเกือบทั้งหมด (CK, STEC, SEAFCO, PYLON และ TEAMG) ถูกเทขายครั้งใหญ่หลังผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค. โดยพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งและได้สิทธิในกรจัดตั้งรัฐบาลเป็นลำดับแรก ราคาหุ้นของ CK, STEC, SEAFCO, PYLON และ TEAMG เคลื่อนไหว -14%, -23%, -6%, -5% และ +4% จากวันที่ 12 พ.ค. (ก่อนการเลือกตั้ง) เทียบกับ SET ที่ลดลง 2%
สถานการณ์เป็นไปได้ มีปัจจัยลบสำคัญ 3 ประการจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะเกิดขึ้น ได้แก่ 1) จำนวนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ลดลง 2) ความกดดันต่ออัตรากำไร และ 3) การเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า
ประการแรก การกระจายโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลจากเมืองหลวงและระเบียงเศษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ไปสู่โครงกรโครงสร้างพื้นฐานขนาดกลางถึงเล็กในจังหวัดชั้นที่ 2 และ 3 มากขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อขนาดตลาดแ ล ะ backlog ของกลุ่มธุรกิจ ประการที่สอง การปฏิรูปกระบวนการประกวดราคาและการตรวจสอบของรัฐบาลน่าจะสร้างการแข่งขันมากขึ้นในการประมูลโครงการและทำให้อัตรากำไรของโครงการลดลง ประการสุดท้าย ความล่าช้าในการเปิดตัวโครงการของรัฐบาลน่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจาก 1) การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่อาจล่าช้า 2 มีแนวโน้มว่ารัฐบาลจะจับตาดูการประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด และ 3) ความไม่สงบทางการเมืองที่อาจขึ้น
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นการที่ภาครัฐเบิกจ่ายงบประมาณน้อยเกินไปและช้าเกินไปไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามอาจทำให้การลงทุนของภาคเอกชนล่าช้าไปด้วย สำหรับความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการเปิดตัวโครงการ การศึกษาเบื้องต้นของเราแสดงให้เห็นว่า CK จะได้รับผลกระทบด้านกำไรน้อยที่สุดเนื่องจากมี backlog ปริมาณมากและระยะเวลาที่ยาวนานในขณะที่บริษัทฯ รับเหมาตอกเสาเข็ม เช่น SEAFCO และ PYLON มีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาการขาดแคลน backlog เนื่องจากงานทั่วไปมีระยะเวลาสั้น
จากการศึกษาของเรา PYLON น่าจะมี downside น้อยที่สุดจากความต่อกดดันต่ออัตรากำไร ในขณะที่ STEC มีโอกาสได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัจจัยด้านอัตรากำไรนี้ นอกเหนือจากผลกระทบด้านกำไรที่อาจเกิดขึ้นแล้ว รัฐบาลใหม่ที่มีความพร้อมด้านการสื่อสารในที่สาธารณะที่แข็งแกร่งจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นของตลาดที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจนี้
จากสถานการณ์ทางการเมืองที่ผันผวนเราจึงคงมุมมองต่อกลุ่มธุรกิจในเชิงบวก แต่ความเป็นไปได้ที่นโยบายของรัฐบาลไม่เป็นมิตรและเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองจะมีความเกี่ยวข้องมากขึ้น สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไร การประเมินมูลค่า และคำแนะนำต่อบริษัทฯ บริการรับเหมาก่อสร้างที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของบล.กสิกรไทย CK ยังคงเป็นหุ้นเด่น ในขณะที่ STEC เป็นหุ้นที่ laggard มากที่สุด
การประเมินมูลค่า จากการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างมูลค่า backlog กับราคาหุ้นในช่วงระหว่างปี 2566 ถึง 2562 (ระดับก่อนโควิด 19) CK ดูเหมือนจะมีมูลค่าถูกที่สุด และ SEAFCO ดูมีมูลค่าแพงที่สุด เมื่อย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองครั้งล่าสุดในช่วงเดือน ต.ค. 2556 และ พ.ค. 2557 ราคาหุ้น STEC ปัจจุบันซื้อขายที่ 2SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ซึ่งเป็นราคาเดียวกับ PER ที่ซื้อขายในช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองครั้งล่าสุด ในขณะเดียวกัน CK ซื้อขายที่ -0.3SD (เทียบกับ -2SD ในช่วงมีเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองครั้งล่าสุดในปี 2556-2557), SEAFCO +0.8SD (เทียบกับ -2SD) และ PYLON +0.2SD (เทียบกับ -1.3SD)
ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ ความล่าช้าในการประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐาน การขาดแคลนแรงงาน/การปรับขึ้นค่าแรง และความไม่สงบทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทย