เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กระทรวงการคลัง นำโดย คุณอุตตม สาวนายน ได้ออกมาโชว์ความล้ำหน้าของเทคโนโลยี ในงาน Mof Digital Platform is Now โดยจะนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานในด้านต่างๆ แต่ก่อนจะไปดูข้อมูลเกี่ยวกับการนำมาใช้งาน เรามาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าว่า Blockchain คืออะไร ? และ มันทำงานอย่างไร Blockchain เป็นโครงข่ายการเก็บข้อมูล ระบบคอมพิวเตอร์แบบไร้ศูนย์กลาง ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และ จะมีข้อมูลชุดเดียวกันหมด ข้อมูลที่ถูกบันทึกลงในบล็อค จะเชื่อมโยงกันบนเครือข่าย เรียงต่อกันไปเรื่อยๆ แบบห่วงโซ่ ที่เป็นที่มาของชื่อ Blockchain ข้อมูลใดๆที่ถูกบันทึกลงใน Blockchain จะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ เพราะทุกๆคนต่างก็มีสำเนาของข้อมูลในแต่ละบล็อคอยู่กับตัว จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ข้อมูลจะถูกบิดเบือนไป โดยไม่มีใครรู้ เราจึงมั่นใจได้ถึงความโปร่งใสในการทำธุรกรรมต่างๆ บนระบบBlockchain คุณอุตตม สาวยานน และ กระทรวงการคลัง เข้าใจเป็นอย่างดีถึงศักยภาพของเทคโนโลยี Blockchain เพื่อจะนำมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพ และ เหตุผลด้านความโปร่งใส กระทรวงการคลังจึงขออาสาเป็นหน่วยงานแรกในการนำร่อง นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ ผ่าน 8 โครงการ โดยมี 1.การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ 2.การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตร 3.การจัดเก็บภาษีของกรมศุลกากร 4.การคืนภาษีของนักท่องเที่ยว 5.โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 6.การออมผ่านพันธบัตรรัฐบาล 7.สิทธิการรักษาพยาบาลของราชกาล 8.ระบบราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ นอกจากนี้กระทรวงการคลัง และ กรมบญชีกลาง ยังได้มีการนำเจ้า Blockchain มาตรวจสอบหนังสือค้ำประกันต่อหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที โดยเทคโนโลยี Blockchain จะเข้ามามีบทบาทในเรื่องของความโปร่งใส รวดเร็ว ปลอดภัย และ ที่สำคัญที่สุดคือ ตรวจสอบได้ ต่อไปนี้ถ้ามีการคอรัปชั่นเกิดขึ้น เราก็ไม่ต้องกลัวแล้วล่ะครับ เพราะเจ้า Blockchain จะไม่มีทางบิดพลิ้วได้แน่นอน ต้องแบบนี้สิ ถึงจะสมกับคำว่า Thailand 4.0 “บล็อกเชน จะเป็นกระดูกสันหลังในการสร้างความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง และบล็อกเชนจะเชื่อมระบบข้อมูลกับกรมสรรพากร สรรพสามิต ศุลกากร และเชื่อมโยงไปยังหน่วยงานในประเทศทั้งหมด ใน 3 เดือนจากนี้ และนอกประเทศในสิ้นปีนี้ให้ได้” นาย อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกกล่าวไว้เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2019