จะดีแค่ไหนหากในหนึ่งปี จะมีหนึ่งวันที่เราสามารถรับประทานอาหารโดยไม่ต้องนับจำนวนแคลลอรี หนึ่งวันที่ว่านั้นคือ วันจังก์ฟู้ด (Junk Food Day) ตรงกับวันที่ 21 กรกฎาคมของทุกปี วันที่ชาวตะวันตกและอีกหลายประเทศทั่วโลก จะได้เพลิดเพลินกับการบริโภคจังก์ฟู้ดโดยไม่ต้องกลัวอ้วน ไม่ว่าจะมันฝรั่งทอด แฮมเบอร์เกอร์ ไก่ทอดแป้งหนากรอบต่างก็จัดกันมาแบบเต็มเหนี่ยว แล้วทำไมอยู่ดี ๆ อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพจึงกลายเป็นวันสำคัญ มีความเป็นมาอย่างไร ในวันนั้นคนทั่วโลกเขาทำอะไรกันบ้าง ชวนทุกคนไปหาคำตอบพร้อมกันในบทความนี้นิยามของอาหารจังก์ฟู้ดสมัยนี้ หมายถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ มีปริมาณน้ำตาล แป้ง และไขมันสูง แต่กลับให้โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ในปริมาณที่น้อยกว่า อีกทั้งยังเป็นตัวการก่อโรคต่าง ๆ ตามมามากมาย โดยเฉพาะโรคอ้วน ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และมะเร็ง คนไทยเราจึงเรียกว่าอาหารขยะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารจานด่วน อาหารที่รับประทานง่าย ๆ ประเภทแฮมเบอร์เกอร์ พิซซา น้ำอัดลม มันฝรั่งทอด ขนมขบเคี้ยวประเภทต่าง ๆ นั่นเองจังก์ฟู้ดเกิดขึ้นมาอย่างยาวนานเริ่มจากโลกตะวันตก ครั้นจะสืบต้นตอคงเป็นเรื่องยากเพราะไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่จังก์ฟู้ดเริ่มมีบทบาทกับวัฒนธรรมการกินของคนเรามากขึ้นในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม แรงงานเหมืองชาวยุโรปและสหรัฐอเมริกาจะต้องตื่นแต่เช้า แล้วพกอาหารไปรับประทานระหว่างเดินทางไปทำงาน จึงมีการคิดค้นทำอาหารที่จับถือสะดวก สามารถกัดเคี้ยวได้ง่าย ซึ่งหนีไม่พ้นจำพวกแซนด์วิช แฮมเบอร์เกอร์ จากนั้นจึงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีผู้ป่วยโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดมากขึ้น จากการบริโภคอาหารประเภทดังกล่าวมากขึ้น ปี 1970 นักจุลชีววิทยานามว่า ไมเคิล จาค็อบสันส์ (Michael Jacobson) จึงเรียกอาหารเหล่านี้ว่า จังก์ฟู้ด (Junk Food) เป็นครั้งแรกชาวตะวันตกตระหนักถึงปัญหาสุขภาพที่เกิดจากอาหารขยะ แต่อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่าอาหารเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมการกินของพวกเขาไปแล้ว จึงกำหนดให้วันที่ 21 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันที่พวกเขาสามารถเฉลิมฉลองกับจังก์ฟู้ดได้อย่างไร้กฎเกณฑ์ จะกินอะไรก็ได้โดยไม่ต้องสนใจว่ายัดเอาปริมาณโคเลสเตอรอลเข้าไปเท่าไหร่ นอกจากนี้บางประเทศยังมีการทำขนมประจำท้องถิ่น จัดงานเลี้ยงบุฟเฟ่ต์จังก์ฟู้ด ใช้เวลาไปกับการชมภาพยนตร์พร้อมหยิบมันฝรั่งทอดเข้าปากตลอดทั้งวัน ช่างเป็นวันที่เปรียบเหมือนสวรรค์ของนักกินเสียจริง ๆหลายภาคส่วนเห็นความสำคัญของปัญหาสุขภาพที่เกิดจากจังก์ฟู้ด จึงพยายามรณรงค์ให้มีการบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ หรือปรับเปลี่ยนกรรมวิธีการผลิต ใช้วัตถุดิบที่ให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากขึ้น เช่น ใช้แป้งที่ทำจากธัญพืช เนื้อสัตว์ที่ทำจากผัก ใช้น้ำมันพืชที่มีความปลอดภัยและไขมันต่ำ ผลิตน้ำอัดลมประเภทน้ำตาลน้อย หรือใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล อีกทั้งยังส่งเสริมให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ตามมานั่นเอง นี่จึงเป็นเกร็ดความรู้เกี่ยวกับวันจังก์ฟู้ดที่นำมากทุกคนในบทความนี้ ขอให้รับประทานอย่างมีความสุขและไม่ลืมที่จะดูแลสุขภาพกันด้วยเครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย Jonathan Borna : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 1 โดย Dan Gold : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 2 โดย Call Me Hangry : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 3 โดย Ryan Quintal : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 4 โดย Beyond Meat : UNSPLASH