"ไม่มีไฟเราอยู่ได้ แต่ไม่มีน้ำเราอยู่ไม่ได้" คำกล่าวของปู่ย่าตายายกล่าวไว้เป็นเรื่องจริงแท้สำหรับคนที่อาศัยในป่าหรือตามชนบท หมู่บ้านของผู้เขียนอยู่ในป่าที่มีความเป็นเมืองมากขึ้น คือ หมู่บ้านกองม่องทะ ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบันสามารถติดต่อสื่อสาร เดินทางกับนอกชุมชนได้มากขึ้น สมัยก่อนยังเป็นหมู่บ้านปิด คือ การเดินทางเข้าออกลำบาก และถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ เช่น การติดต่อธุระทางราชการ เป็นต้น น้อยคนที่อยากจะออกมานอกหมู่บ้าน เพราะการอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น มีทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับชีวิตหรือปัจจัย 4 ครบถ้วนแล้ว ไม่มีอะไรขาดเหลืออยู่ ป่วยไม่สบายก็ใช้ยาสมุนไพรในชุมชนได้ ไร่ข้าว คือแหล่งอาหาร ค่ำลงก็หลับ เช้าก็ตื่นไปทำงานตามหน้าที่ เงินทองไม่จำเป็นต้องใช้มากมาย มีความพอดี พอเพียงอยู่มาก เป็นการใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเองเป็นหลัก ปัจจุบันความจำเป็นอย่างอื่นเข้ามามากขึ้น มีไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ใช้โซล่าเซลล์ในการให้ความสว่าง และเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภท มีน้ำที่สามารถไหลขึ้นมาตามท่อถึงบนบ้านได้จากน้ำประปาภูเขา ในวันนี้เริ่มประสบกับปัญหาทางน้ำมากขึ้น ต้นน้ำหลายๆ ที่ไม่เพียงพอสำหรับการลำเลียงน้ำสู่หมู่บ้าน ด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น การใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคก็เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้น้ำเพื่อการเกษตรด้วย จึงเป็นอีกส่วนที่ทำให้น้ำส่วนรวมไม่เพียงพอ จึงต้องหาแหล่งน้ำแยกกันเอง อีกทั้งต้นน้ำที่ลดลงในทุกๆ ปี ทำให้การพึ่งพาน้ำที่มาจากท่อน้ำไม่สามารถใช้ได้ตลอดทั้งปี จึงต้องมีการหาแหล่งน้ำใหม่ๆ เพื่อลำเลียงน้ำมาหล่อเลี้ยงคนในหมู่บ้านเพิ่มขึ้น ปัญหาจากต้นน้ำที่ลดลงส่วนหนึ่ง ปัญหาจากการชำรุดของอุปกรณ์ลำเลียงน้ำก็อีกส่วนหนึ่ง จึงทำให้เห็นความสำคัญของน้ำมากขึ้น จึงทำให้ต้องกลับไปใช้วิถีชีวิตแบบเดิมคือการเดินไปตักน้ำที่ริมห้วย ริมแม่น้ำเหมือนสมัยยังไม่มีน้ำประปาใช้ บ้านไหนที่ใกล้น้ำตกก็โชคดีหน่อย บ้านไหนไกลน้ำก็ต้องเดินไกล ช่วงนี้ทางบ้านได้ประสบกับปัญหาน้ำไม่ไหล เพราะต้นน้ำบนเขาได้ลดลง ไม่สามารถกระจายน้ำได้ทั่วถึงทุกจุดของหมู่บ้าน ส่วนต้นน้ำอีกหนึ่งสายก็ยังไม่ทันได้แก้ไข จึงทำให้น้ำไม่ไหลเป็นสัปดาห์ โชคดีที่บ้านของผู้เขียนอยู่ติดริมห้วยหลังบ้าน จึงสามารถไปอาบ ชำระล้างข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือนได้ และสามารถตักน้ำขึ้นมาใช้ได้สะดวกกว่าคนที่อยู่ไกลๆ และตอนนี้ที่บ้านมีไฟใช้สะดวกสบาย ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่น้ำใช้ได้ไม่สะดวกเหมือนเดิม จึงทำให้เข้าใจ เข้าถึงคำกล่าวของผู้เฒ่าผู้แก่ที่บอกต่อๆ กันมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น "เรามีน้ำ เราอยู่ได้ เราไม่มีน้ำ เราอยู่ไม่ได้" "ขาดไฟเราอยู่ได้ ขาดน้ำเราอยู่ยาก" หรือ "ไม่มีไฟเราอยู่ได้ ขอแค่มีน้ำก็พอ" และนี่เป็นความฉลาดของบรรพบุรุษที่มาตั้งถิ่นฐานหมู่บ้านในที่ๆ มีแม่น้ำหรือสายน้ำไหลผ่าน ส่วนลูกหลานรุ่นหลังจะดูแลอย่างไรให้คงอยู่ต่อไปได้ให้นานที่สุดจึงเป็นเรื่องสำคัญ การขาดน้ำหรือน้ำไม่ไหลเป็นอีกสิ่งที่ควรตระหนักกันทุกคน นั่นก็คือ "ถ้าวันหนึ่งไม่มีแหล่งน้ำให้ใช้แล้ว เราจะอยู่กันอย่างไร" "เราดูแลต้นน้ำ แหล่งน้ำ ต้นไม้ สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศได้สมดุลกับการชีวิตแล้วหรือยัง" หากเราทุกคนยังใช้ทรัพยากรโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบใดๆ คำตอบก็มีให้กับเราในทุกๆ ปีที่ต้องพบเจอ เช่นกัน น้ำแห้ง อากาศร้อน ภัยพิบัติ โรคภัยต่างๆ เป็นต้น เราจะผู้มีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้น หรือจะเป็นแค่ผู้ที่ยอมทนรับผลกระทบเหล่านั้นได้เรื่อยๆ เพราะผลกระทบสามารถเข้าถึงได้ทุกคน ทุกที่ เพียงแต่ว่าจะมากหรือน้อยแค่นั้นเอง วันนี้น้ำไม่ไหล เรายังไปตักที่แม่น้ำได้ แต่ถ้าไม่มีน้ำจากแหล่งน้ำใดๆ แล้ว เราจะทำกันอย่างไรกันดีนะ? ทุกภาพประกอบโดยผู้เขียน ขอบคุณ Canva ช่วยตกแต่งภาพปก เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !