อินโดนีเซียวิพากษ์วิจารณ์เงื่อนไขของข้อตกลงโลกร้อนในการยุติการตัดไม้ทำลายป่า

โดยสีตี นูร์บายา รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอินโดนีเซีย กล่าวว่า รัฐบาลไม่อาจให้คำมั่นสัญญาได้ว่าจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขลดโลกร้อนนี้ได้ การบังคับอินโดนีเซียให้ปฏิบัติตามข้อตกลงตัดไม้ทำลายป่าเป็นศูนย์ภายในปี 2030 นั้น “ไม่มีความเหมาะสมและไม่ยุติธรรมอย่างชัดเจน”

 

 

เธอกล่าวว่า แม้ว่า ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซีย ลงนามในข้อตกลงฉบับนี้ แต่การพัฒนายังคงเป็นความสำคัญอันดับหนึ่งของอินโดนีเซีย

 

 

ข้อตกลงยุติการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งผ่านความเห็นชอบร่วมกันระหว่างผู้นำโลกกว่า 100 ประเทศ ถูกประกาศไปในวันจันทร์ (1 พฤศจิกายน) ในการประชุมสุดยอดด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกครั้งที่ 26 หรือ COP26 ในเมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์

 

 

เป็นการประกาศสำคัญครั้งแรกของการประชุมครั้งนี้ โดยในข้อตกลงดังกล่าวให้คำมั่นว่าจะยุติการตัดไม้ทำลายป่าและหันมาฟื้นฟูป่าภายในปี 2030 และรวมทั้งการจัดสรรงบประมาณทั้งภาครัฐและเอกชนเกือบ 19,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 640,000 ล้านบาทในการแก้ปัญหานี้

 

 

นูร์บายา โพสต์ข้อความผ่าน Facebook เป็นภาษาอินโดนีเซีย แย้งว่า ทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหาศาลของอินโดนีเซีย ต้องถูกใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนอินโดนีเซีย

 

 

เธออ้างว่า มีความจำเป็นในการลดพื้นที่ป่าเพื่อตัดถนนสายใหม่ การพัฒนาขนานใหญ่ในยุคของประธานาธิบดีโจโควี ต้องไม่หยุดชะงักเพียงอ้างการปล่อยก๊าซคาร์บอน หรือการตัดไม้ทำลายป่า ความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติของอินโดนีเซีย ซึ่งรวมทั้งป่าไม้ ต้องถูกบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ตามหลักการที่ยั่งยืน พร้อมกับความยุติธรรม

 

 

ทั้งนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างแสดงความยินดีต่อข้อตกลงดังกล่าว แต่พวกเขาก็เตือนว่า ข้อตกลงก่อนหน้านี้ ที่มีขึ้นในปี 2014 ก็ประสบความล้มเหลวไม่สามารถลดการตัดไม้ทำลายป่าได้เลย และบอกว่า จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อผูกพัน

 

 

การตัดโค่นต้นไม้ เป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก เพราะมันทำให้ป่าไม้ที่คอยดูดซับเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวการที่ทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน หมดไป