จีนท้าชน “Neuralink” ในตลาด BCI พัฒนา “ชิปสมอง” ควบคุมอุปกรณ์ด้วยความคิด

เทคโนโลยีอินเทอร์เฟซเชื่อมต่อระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ หรือ BCI ซึ่งช่วยให้สมองและอุปกรณ์ภายนอกสามารถสื่อสารกันได้โดยตรง กำลังก้าวขึ้นมาเป็นจุดสนใจของการแข่งขันทางวิทยาศาสตร์ระดับโลกอย่างรวดเร็ว 

เมื่อไม่นานนี้ สแตร์เมด (Stairmed) บริษัทด้านเทคโนโลยีซึ่งตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ได้ดำเนินการทดสอบการขึ้นทะเบียนอุปกรณ์การแพทย์สำหรับระบบ BCI แบบฝังได้สำเร็จเป็นแห่งแรกของประเทศ ถือเป็นก้าวสำคัญในการทดลองทางคลินิก ที่คาดว่าจะกลายมาเป็นคู่แข่งกับ นิวรัลลิงก์ (Neuralink) สตาร์ทอัปด้านชิปสมองของ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ได้ในอนาคต

โดยบริษัทได้ทดสอบฝังอุปกรณ์เชื่อมต่อเข้ากับสมองของลิง ด้วยการเปิดช่องเล็ก ๆ ประมาณ 3-5 มิลลิเมตรบนกะโหลกศีรษะ เพื่อใส่ขั้วไฟฟ้า 2 จุด และให้ลิงทดสอบควบคุมเคอร์เซอร์ หรือตัวชี้บนจอภาพ ด้วยการส่งคำสั่งผ่านสมองโดยตรง ซึ่งในอนาคตเทคโนโลยีนี้อาจจะนำมาใช้เพื่อช่วยเหลือทางการแพทย์ให้กับผู้ป่วยอัมพาต โรคพาร์กินสัน และความผิดปกติทางระบบประสาท สามารถควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยคู่แข่งรายใหญ่ของบริษัทอย่าง นิวรัลลิงก์ (Neuralink) สตาร์ทอัปด้านชิปสมองของ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ก็ได้ประสบความสำเร็จในการทดสอบกับผู้ป่วยที่เป็นมนุษย์มาแล้ว

โดยในปี 2024 นิวรัลลิงก์เคยเผยคลิปวิดีโอสัมภาษณ์ความรู้สึกของผู้ป่วยรายแรกที่ได้รับการฝังชิปในสมองจากบริษัท โดยเป็นคลิปสัมภาษณ์ผู้ป่วยนามว่า โนแลนด์ อาร์บอห์ (Noland Arbaugh) ซึ่งเป็นอัมพาตจากอุบัติเหตุขณะดำน้ำ 

ซึ่งชิปดังกล่าวได้รับการออกแบบมา เพื่อช่วยผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตในการควบคุมเทคโนโลยีภายนอกโดยใช้เพียงความคิด ส่วนกระบวนการผ่าตัดจะใช้หุ่นยนต์ช่วยวางส่วนต่อประสานระหว่างสมองและคอมพิวเตอร์ ในพื้นที่สมองส่วนควบคุมการสั่งการเคลื่อนไหว แล้วส่งข้อมูลนั้นไปยังคอมพิวเตอร์ เพื่อถอดรหัสเปลี่ยนความคิดให้เป็นการกระทำ

ผู้ป่วยรายนี้ได้สาธิตการเล่นเกมหมากรุกบนคอมพิวเตอร์แบบไม่ต้องสัมผัสกับอุปกรณ์ใด ๆ ซึ่งตัวผู้ป่วยเผยว่าทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่จ้องมองจุดที่ต้องการให้เคลื่อนไหว ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ตัวเขารู้สึกว่าสุดยอดมาก 

แต่ไม่ว่าจะเป็นผลงานของบริษัทฝั่งสหรัฐอเมริกา หรือจะมาจากจีน หากทั้งสองบริษัทสามารถพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้มนุษย์ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ ก็จะทำให้โอกาสของผู้ป่วย หรือผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางการเคลื่อนไหว ได้ฟื้นฟูความสามารถที่สูญเสียไป และใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น