โบรกฯ ประเมินดัชนีฯ ผันผวนสูง แต่ฟันด์โฟลว์จำกัดความเสี่ยงทางลง
ทันหุ้น - บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) ระบุ SET Index ปิดที่ระดับ 1468.24 จุด (+18.89 จุด) ดัชนีสามารถกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวในแดนบวก และยังปิดที่ระดับ High ของวัน ล่าสุดทะลุกรอบ Falling wedge ในภาพราย 60 นาที เป็นการดึงโมเมนตัมเชิงบวกกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน
มีหุ้น ถือรันเทรน จนกว่าดัชนีจะลงมาต่ำกว่าระดับ 1425 จุด
ไม่มีหุ้น เก็งกำไรตามโมเมนตัม รอขายที่บริเวณ 1485 / 1510 จุด
ประเมินแนวรับ 1455/1440 แนวต้าน 1485/1510
**บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ประเมินดัชนีฯ ผันผวนสูง นักลงทุนอาจตัดขายทำกำไรหุ้นขึ้นมามาก หลังตลาดมีหลายปัจจัยลบเข้ามา โดยเฉพาะการระบาดรอบใหม่ของ Covid-19 อีกทั้งรอผลเลือกตั้งวุฒิสภารอบสองของสหรัฐฯวันนี้ กลยุทธ์ลงทุนวันนี้ ตลาดยังแปรปรวนจาก Covid-19 ทั้งของไทยและต่างประเทศ จึงเหมาะกับการ “ถือ” มากกว่าและเลี่ยงหุ้นถูกกระทบทางตรง อาทิ กลุ่มที่อิงรายได้จากการท่องเที่ยว
Covid-19 ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญ ของตลาดหุ้นทั่วโลก และทำให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ (ทองคำ+พันธบัตร) กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง ขณะที่ค่าดอลล่าร์ยังอ่อนค่าลง ล่าสุด Dollar Index 89.85 จุด แม้ตลาดจะมีวัคซีน แต่การติดเชื้อรอบใหม่ ทำให้บางประเทศต้องประกาศทำ Partial Lockdown รวมทั้งการกลายพันธ์ที่พบในอังกฤษ-แอฟริกาใต้ ทำให้นักลงทุนกลับมากังวลอีกครั้ง ด้านไทยเอง ยังต้องจับตาดูมาตรการของภาครัฐ ว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจหรือการควบคุมการระบาด อย่างไร ถ้านักลงทุนเห็นว่าไม่กระทบเศรษฐกิจ ดัชนีฯจะขึ้นต่อได้ โดยวันนี้ น่าจะมีการประกาศห้ามเข้า-ออก 5 จังหวัด
การเลือกตั้งวุฒสมาชิก ที่คงเหลือมลรัฐจอร์เจีย ที่จะทราบผลในวันนี้ (ตามเวลาสหรัฐฯ) หากเดโมแครตสามารถครองเสียงได้เพิ่มขึ้น อาจเป็นตัวถ่วงตลาดหุ้น เพราะประธานาธิบดี Biden 0tเข็นโยบายเก็บภาษีคนรวยมาใช้ได้ง่ายขึ้น ราคาน้ำมัน ลินค้าโภคภัณฑ์ ยังต้องรอดูการประชุม JMMC ของกลุ่ม OPEC+ ในวันนี้ หลังล้มเหลวไปในวันก่อน หากปรับเพิ่ม 5 แสนบาร์เรล/วัน ตามที่เคยแจ้งไว้ จะลบต่อราคาน้ำมัน จาก Supply ที่เพิ่มขึ้น event สำคัญๆ ของวันนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อของไทย (คาด -0.4% YoY ; เดือนก่อน -0.4%) ตัวเลข ISM ของสหรัฐฯ การประชุม ครม. และรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโดย World bank
#Strategy
วานนี้ ตลาดดีดกลับมาด้วยหุ้นที่อิงตัวแปรต่างประเทศ (น้ำมัน-ปิโตรเคมี-ขนส่ง) แต่ด้วยความเสี่ยงของการระบาดของ Covid-19 ที่ยังไม่ได้ลดลงไปมากนัก อาจเกิดแรงขายทำกำไรช่วงสั้นได้ กลยุทธ์ลงทุน วันนี้ หุ้นส่วนใหญ่เหมาะกับการ “ถือ” มากกว่า หรือเก็งกำไรช่วงสั้นๆ โดยยังคงเลี่ยงหุ้นถูกกระทบทางตรง อาทิ กลุ่มที่อิงรายได้จากการท่องเที่ยว พอร์ตหุ้นวันนี้ เราเพิ่มหุ้น TOA* และ LEO เข้าและนำ HANA, SPALI ออกจากพอร์ต พอร์ตของเราจะประกอบไปด้วย TOA*(10%), LEO(10%), NRF*(10%), BBL(15%), BANPU*(10%), MTC(10%), SCGP*(10%), RBF(10%)
#Strategy top picks
TOA: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 35 บาท) “สีทนได้ คาดยอดขายปี 2021 ฟื้น”
•คาดยอดขายสีทาอาคารในปีนี้ฟื้นตัว ส่วนผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวมีโอกาสเติบโตต่อ ได้แรงหนุนจากการบริโภคและการลงทุน (ก่อสร้าง) ที่ฟื้นตัวจากฐานต่ำในปีก่อน
•เปิดตัวธุรกิจใหม่ “Mega Paint Warehouse ซึ่งเป็นศูนย์จำหน่ายวัสดุก่อสร้างครบวงจร พร้อมบริการ WHO Service ศูนย์ให้คำปรึกษาและจัดหาช่างผู้รับเหมางาน โดยในปีนี้จะเปิดให้บริการ 3 สาขา และภายใน 3 ปี TOA จะเปิดให้ครบ 50 สาขา
•Bloomberg Consensus Survey กำไรสุทธิเฉลี่ยของ TOA ปี 2021-2022 ที่ 2.3 พัน ลบ. และ 2.5 พัน ลบ. เติบโต +10.6%YoY และ 8.7%YoY ตามลำดับ
Technical : SINGER, AMANAH
**บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,450-1,480 จุด หลังจากปรับตัวขึ้นแรงวานนี้ อย่างไรก็ตามความผันผวนของดัชนียังค่อนข้างสูงจากสถานการณ์ระบาดของ COVID-19 ในประเทศที่ยังน่าเป็นห่วง แม้วานนี้ศบค.จะยังไม่มีมติ Lockdown ทั้งประเทศ แต่หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์จะมีการพิจารณาอีกครั้ง
ส่วนปัจจัยต่างประเทศจับตาประชุม OPEC+ ต่อวันนี้หลังยังตกลงกันไม่ได้ รวมถึงการเลือกตั้งส.ว.รัฐจอร์เจียรอบ 2 ซึ่งหากพรรคเดโมแครตชนะจะทำให้มีมีอำนาจควบคุมทั้ง 2 สภา ซึ่งทำให้ตลาดกังวลเรื่องนโยบายขึ้นภาษี มีโอกาสทำให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้น ระยะสั้นเรามองกลุ่ม Defensive Play ที่ถูกกระทบจาก COVID-19 จำกัดอย่างกลุ่มโรงไฟฟ้า ไฟแนนซ์ จะ Outperform ตลาด
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ต่ำ//ทยอยสะสมหุ้นเพิ่มบริเวณ 1,400 จุด
หุ้นเด่นเดือนม.ค. : DOHOME, KBANK, MAKRO, RBF, SPALI
หุ้นเด่นวันนี้:IIG
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 25.25 บาท
• คาดเป็น 1 ในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการระบาดของ COVID-19 และกระแส Work from Anywhere หนุนการลงทุนเปลี่ยนระบบ ERP จาก On-Premise เป็น On- Cloud รวมถึงระบบ CRM ที่กำลังเติบโตเพื่อธุรกิจตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีมากขึ้น
• IIG มีสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring) ราว 50% ซึ่งค่อนข้างแข็งแรง เราคาดกำไรปี 2020 +25% Y-Y และเร่งตัวขึ้นเป็น +40% Y-Y ในปี 2021
Fund Flow วานนี้ กระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าภูมิภาคอีก US$993 ล้าน โดยกระจุกตัวที่ไต้หวัน US$930 ล้าน ขณะที่ไทยมีเม็ดเงินไหลเข้ามากสุดในกลุ่ม TIP ที่ US$74 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดยังอยู่ในทิศทางไหลเข้าจากสภาพคล่องที่สูง และความคาดหวังเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและหลายประเทศทยอยใช้วัคซีน COVID-19
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0)ประชุม OPEC+ ยังตกลงกันไม่ได้ ว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 5 แสนบาร์เรลในเดือน ก.พ. หรือไม่ เนื่องจากหลายประเทศยังกังวลการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ที่อาจกระทบ Demand ทำให้ต้องมีการประชุมต่อในวันนี้
(0) ศบค. Lockdown 5 จังหวัด กทม.ให้ร้านอาหารห้ามนั่งทานได้ถึง 21.00 น. จากเดิมที่ได้ถึง 19.00 น. ทำให้กลุ่มร้านอาหารอย่าง M AU ZEN OISHI MINT CENTEL ผ่อนคลายมากขึ้น เพราะยังสามารถขายในช่วง Peak Hour ได้ สำหรับ M คาดสัดส่วนรายได้ของสาขาในกทม.ราว 30-32% เราประเมินผลกระทบค่อนข้างจำกัด โดยยังคงราคาเป้าหมายที่ 63 บาท และมองบวกต่อการฟื้นตัวที่เร็วและสภาพคล่องแข็งแรง แนะนำ “ทยอยสะสมเมื่ออ่อนตัว”
(+) GULFลงทุน 40% จำนวน 2.7 พันลบ.ใน PTT NGD ซึ่งทำท่อส่งแก๊สซึ่งเรามองบวกตำแหน่งของ GULF ในอุตสาหกรรมดังกล่าว และดีต่อธุรกิจนำเข้า LNG ในอนาคต เรามองว่า GULF เป็น 1 ใน 3 บริษัท SPP ที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนแก๊สที่ลดลงในปีนี้ รวมถึงราคานำเข้า LNG ที่ลดลง รวมถึงเงินปันผลจากการถือหุ้น INTUCH เราคาดกำไร 4Q20 ไม่ต่ำกว่า 1.4 พันลบ. คงราคาเป้าหมาย 48 บาท แนะนำ “ซื้อ” (Source: FSSIA)
(+) STGTเริ่มเทรดพาร์ใหม่ 0.50 บาทวันนี้และปรับนโยบายจ่ายปันผลใหม่เป็นไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรทุกไตรมาสในปี 2021 กำไร 4Q20 ยังโตแรงจากราคาขายที่ปรับขึ้น เราคาดกำไรปี 2020-2021 +1,158% Y-Y และ +71% Y-Y ตามลำดับ FSSIA ยังแนะนำซื้อ และให้ราคาเป้าหมาย 48 บาท (ก่อนแตกพาร์ 96 บาท)
**บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ส่องทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ประเมินดัชนีฯ วันอังคารไซด์เวย์/ปรับลดลงบ้าง... หลังจากเมื่อวานนี้ แรงหนุนจากฟันด์โฟลว์ต่างชาติ รวมทั้งแรงซื้อในเชิงเปลี่ยนกลุ่มเล่น (sector rotation) เข้าหุ้นพลังงานและปิโตรเคมี หนุนการฟื้นตัวของ SET Index ที่แรงกว่าที่เราคาดไว้ แต่สำหรับวันนี้ ปัจจัยต่างประเทศเป็นลบเล็กน้อย น่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยชะลอความร้อนแรง ผนวกกับนักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ของ COVID-19 ภายในประเทศ ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ มองว่าภาครัฐฯ ขณะนี้กำลังพยายามหาจุดสมดุลระหว่างมิติทางเศรษฐกิจ และ มิติด้านสาธารณสุข ส่งผลให้มาตรการต่างๆ ไม่น่าจะเข้มงวดเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้ SET Index น่าจะประคองตัวได้ต่อ
ปัจจัยต่างประเทศ - เป็นลบเล็กน้อย: i) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานค่อนข้างแรง หลังจากนักลงทุนเพิ่มระดับความกังวลต่อปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ ก่อนหน้าผลการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกรัฐจอร์เจียในวันนี้ ผนวกกับการที่ ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงปลุกระดมให้ผู้สนับสนุนเขาออกมาประท้วงผลการเลือกตั้ง ปธน. เมื่อเดือน พ.ย. 2563... ขณะที่สถานการณ์ COVID-19 ยังคงรุนแรงและรัฐนิวยอร์กแถลงพบเชื้อที่กลายพันธุ์แบบที่มาจากประเทศอังกฤษ ii) อังกฤษประกาศล็อกดาวน์ทั้งประเทศอีกครั้ง เพื่อสกัดการแพร่กระจายของ COVID-19 หลังจากมียอดติดเชื้อสูงมากถึง 5-6 หมื่นรายต่อวัน มาตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ธ.ค. 2563
ปัจจัยในประเทศ - เป็นกลาง: i) เมื่อวานนี้ ศบค. รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทำ new high ที่ 745 คน แต่เป็นการติดเชื้อภายในประเทศเพียง 152 คน (ส่งผลให้ตลาดไม่ตกใจ) และการติดเชื้อในกลุ่มแรงงานต่างด้าว 577 คน... ทั้งนี้รัฐบาลยังดำเนินมาตรการอย่างระมัดระวัง ล่าสุดนายกฯ ปรับคำสั่งของ กทม. เรื่องการห้ามนั่งทานอาหารในร้าน จาก 19.00 เป็น 21.00 น. เพื่อลดทอนผลกระทบทางเศรษฐกิจ
หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน แนะเก็งกำไร MICRO, BCPG*, JMT*
MICRO (เป้าพื้นฐาน 5.9 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 4.8 บาท และ 4.6 บาท / แนวต้าน 5.2 5.3 บาท (Stop loss 4.4 บาท) 2) ประเมินแนวโน้มกำไรโต 29% CAGR 2563 66 จาก i) สถาบันการเงินปลดล๊อกเพดาน DE ratio จาก 1.5 เท่า เป็น 2.0 เท่า ii) คาดพอร์ตสินเชื่อรถบรรทุกมือสองจะขยายตัวแตะระดับ 5 พันล้านบาทในปี 2565 (คาดปี 2563 พอร์ตสินเชื่อแตะ 2.45 พันล้านบาท) iii) ตลาดสินเชื่อรถบรรทุกมือสองใหญ่ราว 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ MICRO มี Market share เพียงราว 5% และผู้ปล่อยสินเชื่อฯ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายเล็ก 3) ประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำต่อเนื่อง และมีโอกาสลดลงอีก อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์วันนี้
BCPG* (เป้าพื้นฐาน 17.3 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 13.8 บาท / แนวต้าน 14.5 15.0 บาท หากผ่านกรอบแนวต้านนี้ไปได้ประเมินแนวต้านถัดไป 16 บาท (Stop loss 13.5) 2) ภาวะลานีญ่าของโลกล่าสุดยัง Peak (ข้อมูลกรมอุตุฯ ออสเตรเลีย) สะท้อนแนวโน้มผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่ลาวยังดีต่อเนื่องใน 4Q63 3) จากงบลงทุนปี 2564 ของ BCP* ที่ตั้งเป้าไว้ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท โดยจะลงที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าของ BCPG* ราว 75% (1.7 หมื่นล้านบาท) คาดมีโอกาสที่จะมีการลงทุนใหม่ที่ยังไม่อยู่ในประมาณการฯอีกมาก เนื่องจากงบ CAPEX ปี 2564 ในประมาณการฯของฝ่ายวิจัยฯยังไม่ได้รวมโครงการใหม่ที่ยังไม่ประกาศเป็นทางการ (ประเมิน CAPEX เพียง 4 พันล้านบาท)
JMT* (เป้าพื้นฐาน 40 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 34.5 บาท / แนวต้าน 38 - 39 บาท หากผ่านกรอบแนวต้านนี้ไปได้ประเมินแนวต้านถัดไป 41 บาท (Stop loss 34 บาท) 2) ประเมินผลการดำเนินงาน 4Q63 และมีโอกาสที่ Consensus จะปรับประมาณการฯทั้งปีขึ้น ทั้งนี้กำไร 9M63 คิดเป็น 84% ของประมาณการฯทั้งปีของฝ่ายวิจัยฯแล้ว 3) ประเมินธุรกิจบริหารหนี้เสียกำลังเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นอีกครั้ง (สะสมพอร์ตหนี้เสียในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ และทยอยรับรู้รายได้เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว) 4) PE ปี 2564 = 32 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 36 เท่า และคาดมีโอกาสปรับประมาณการฯขึ้น
อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิ๊ก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิ๊ก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิ๊ก https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิ๊ก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิ๊ก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิ๊ก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิ๊ก https://twitter.com/thunhoon1