วิเคราะห์ หนัง Bee Movie กับกลยุทธ์การตลาดที่น่าสนใจหนังเรื่อง Bee Movie (2007) กํากับโดย โซม่อน เจ. สมิธ, สตีฟ ฮิคเนอร์ โดย Here Movie คืออีกหนึ่งการขยับขยายเปลี่ยนแนวทำหนังของค่ายดรีมเวิร์คส์ที่พยายามหาหนังแนวใหม่ๆ ด้วยการร่วมมือกับโปรดิวเซอร์หลักและบางส่วนของทีมเขียนบทจากรายการทีวีคนแสดงเรื่อง Seinfeld (1989-1998) ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจนโด่งดังด้วยจํานวนผู้ชมมหาศาลตลอดระยะเวลาการฉาย กระทั่งกลาย เป็นตํานานด้วยการเป็นหนึ่งในซีรีส์โทรทัศน์อเมริกันที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด และถือหนึ่งใน เป็นจุดหมายสําคัญแห่งทศวรรษ 1990 ที่อยู่ในความทรงจําของชาวอเมริกัน ที่ใช้วิธีการที่ผิดแผก แปลกตาปรากฏตัวภายใต้สูตรแข็งแกร่งของภาพยนตร์อนิเมชั่น ด้วยรายละเอียดของบทที่ฉีกจาก ความคุ้นชิน โดยเฉพาะด้านตัวเรื่องที่ไม่ได้เน้นเนื้อหาแค่เรื่องความรักของครอบครัวแต่เพิ่มความตลก ความบ้าของตัวละครที่ไม่คิดหนังยุคนั้นจะมีความกล้าที่จะแสดงความแตกต่างออกมาได้อย่างชัดเจนขนาดนี้โดยประเด็นที่หนังต้องการสื่อ และวิธีการดําเนินเรื่องเพื่อสื่อสาร ประเด็นที่กล้าเสี่ยงกว่าเดิม กล่าวคือหนังดูมีท่าทีเป็นห่วงเป็นใยผู้ชมแนวครอบครัวสุขสันต์น้อยลงกว่าที่เรามักจะได้เห็นกัน แต่เน้นความแปลกใหม่ทำให้ดูสมจริงใส่ความเป็นผู้ใหญ่ลงไปมากขึ้นมีการใส่มุกตลกและความคิดว่าผู้ใหญ่ลงไปสร้างสีสันแทนมุกเด็กที่ชอบเล่นกันแทนแถมยังมีการวาดแสดงอามรณ์ที่ให้ความตื่นเต้น ขำ แบบเต็มพิกัด ไม่ได้เน้นความสวยงามของตัวละครอีกต่อไปในเรื่องย่อของหนังเริ่มต้นจะเป็นกฎสูตรที่ผู้ชมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ด้วยตัวละครเอกเป็นสัตว์ที่รู้สึกไม่เป็น ส่วนหนึ่งของสังคมสัตว์นั้นๆ และมีความคิดแปลกประหลาดกว่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์จนนําไปสู่ เหตุการณ์ทั้งหมด สําหรับเรื่องนี้คือ แบร์รี บี เบนสัน (พากย์เสียงโดย เจอร์รีไซน์เฟลด์) ฝั่งหนุ่มที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยและอยู่ในช่วงรีบเร่งหางานทําเหมือนฝั่งอื่น แต่เงื่อนไขแบบผึ้งๆ คือ หากเลือกงานใดแล้วจะต้องทํางานนั้นทุกวันไปจนวันตาย เกิดคําถามขึ้นในใจแบร์รีที่เขายัง ต้องการหาคําตอบให้กับตัวเองว่าทําไมเขาถึงไม่รู้สึกอยากมีชีวิตหรือ คิดแบบผึ้ง” (thinking bee) อย่างพ่อแม่และเพื่อนสนิท อดัม เพลย์แมน (แมทธิว บรอเดอริค) - เขาเลยติดสอยห้อย ตามเหล่าผึ้งล่าน้ําหวาน (ที่แต่ละตัวรูปร่างกํายําเหมือนนักกีฬาและอยู่ในระบบระเบียบแบบทหาร เป็นอาชีพที่ “ไม่ใช่ผึ้งไหนๆ ก็เลือกเป็นได้ เพราะต้องฝึกฝนเตรียมตัวเพื่อจะเป็นผึ้งล่าน้ําหวาน โดยเฉพาะ) เพื่อจะได้เห็นโลกนอกรังผึ้งสักครั้ง และการผจญภัยระหว่างล่าน้ำหวานน่าจะเป็น ประสบการณ์ที่ ไม่ต้องยึดถือตามระเบียบแบบแผน ที่สุดเท่าที่ผึ้งตัวหนึ่งจะมีโอกาสได้อิ่มเอม แต่ดันเรื่องเลยเถิดไปกันใหญ่ก็ตอนที่ผึ้งล่าน้ำหวานดันเห็นลูกเทนนิสเป็นดอกไม้ แบร์รีที่ติด ร่างแหไปด้วยเลยถูกหวดกระเด้งไปทั่วเมือง กฎเหล็กสองข้อของเผ่าพันธุ์ผึ้งคือ ห้ามบินระหว่าง ฝนตกและห้ามพูดโดยตรงกับมนุษย์ (ในเรื่องนี้ถ้าผึ้งพูด คนก็จะฟังรู้เรื่องและเห็นว่าฝั่งพูดได้ ไม่ใช่ได้ยินเป็นเสียงแบบผึ้งๆ) และเขาดันตัดสินใจแหกกฏข้อสําคัญที่สุดของผึ้งด้วยการพูดทักทาย ก็เพราะว่าเขาดันหลงรักมนุษย์ ที่เป็นเนื้อหาที่ฉีกความเป็นการ์ตูนใสๆ ได้อย่างชัดเจนซึ่งการกล้าที่จะเสี่ยงทำหนังออกมาให้ลักษณะแบบนี้ทำให้ประสบความสำเร็จที่สามารถฉีกกรอบการนำเสนอความน่าสนใจผ่านคนดังมาสร้างเป็นหนังแต่หนังนี้เป็นการขายหนังจากบทและความคิดสร้างสรรค์ในการนำเสนอที่แท้จริงจึงทำให้เป็นหนังที่นักวิเคราะห์มักนำมาเป็นประเด็นในการคิดกลยุทธ์การตลาดในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อการนำเสนองานที่แตกต่างจากต้นแบบของหนังเรื่องนี้เครดิตภาพหน้าปก Dreamworks ขอบคุณรูปภาพ 1 / 2 / 3 / 4