ภาพปกจาก freepik สงคราม "โควิด 19" ในตอนนี้ดูเหมือนว่ากำลังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และล่าสุดองค์การอนามัยโลกก็ได้ประกาศยกระดับให้โรคติดต่อชนิดนี้กลายเป็นโรคระบาดที่จัดอยู่ในระดับความรุนแรง "การระบาดใหญ่" หรือ "Pandemic" แล้ว แผนที่แสดงการระบาดทั่วโลก จาก องค์การอนามัยโลก WHO Pandemic ร้ายแรงแค่ไหนในระดับการระบาดทั้งหมด ? จุดเริ่มต้นของการระบาดนั้นจะเริ่มจากการเป็นโรคระบาดในท้องถิ่นหรือในชุมชนมาก่อน อย่างเช่นตอนที่มีข่าวพบผู้ติดเชื้อในเมืองอู่ฮั่นประเทศจีน แต่ยังไม่มีการแพร่กระจายไปยังเมืองอื่นหรือประเทศอื่น ๆ ก็จะเรียกการระบาดในขั้นต้นนี้ว่า Endemic ซึ่งหากไม่สามารถควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อได้ และมีการพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ออกจากท้องถิ่นหรือชุมชนเป็นการติดเชื้อในระดับประเทศและมีการพบผู้ติดเชื้อนอกประเทศ และมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายไปเรื่อย ๆ ก็จะมีการประกาศเป็นระยะ Epidemic และเมื่อไหร่ก็ตามที่พบการแพร่ระบาดไปยังหลายภูมิภาคทั่วโลกซึ่งเกิดจากมาตรการควบคุมโรคของประเทศต่าง ๆ ไม่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดนี้ได้ก็จะมีการจัดให้โรคระบาดนั้นกลายเป็นระดับ Pandemic นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันองค์การอนามัยโลกก็ได้ยืนยันว่าพบจำนวนผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 123 ประเทศทั่วโลก รวมยอดผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่าหนึ่งแสนสามหมื่นเคส และมียอดผู้เสียชีวิตรวมแล้วเกือบห้าพันราย ภาพการแถลงข่าวประกาศเข้าสู่ระดับ Pandemic จาก องค์การอนามัยโลก WHO เมื่อประกาศเป็นการระบาดระดับ Pandemic นั้นจะส่งผลอย่างไร ? แน่นอนว่าการที่ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลกได้ออกมาแถลงข่าวยกระดับความรุนแรงในการระบาดของโควิด 19 ในครั้งนี้ ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความตื่นตระหนกแก่ประชาชนและหน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลกแต่อย่างใด แต่เป็นการส่งสัญญาณให้ทุกประเทศทั่วโลกได้รับทราบและเตรียมยกระดับมาตรการป้องกันและหยุดยั้งการแพร่กระจายของเชื้อให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งการสร้างมาตรการรับมือนั้นถือเป็นหนึ่งในความท้าทายของรัฐบาลและหน่วยงานด้านสาธารณสุขซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันในด้านต่าง ๆ ของประชาชนโดยตรง ดังนั้นประชาชนทุกคนจึงควรติดตามข่าวสารการใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำจากหน่วยงานสาธารณสุขอย่างกรมควบคุมโรคประเทศไทย หรือองค์การอนามัยโลกอย่างใกล้ชิด ภาพจาก กรมควบคุมโรคติดต่อประเทศไทย ประเทศไทยกับการวางมาตรการรับมือ โควิด 19 สำหรับมาตรการรับมือกับโควิด 19 จากกระทรวงสาธารณสุขในประเทศไทยนั้นก็ยังถือว่าช้าไปก้าวหนึ่งอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้หน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ป้องกันขาดแคลนอย่างหนักทั่วประเทศทำให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สนามบินซึ่งถือเป็นนักรบด่านหน้านั้นไม่มีเครื่องมือรบพร้อมใช้จนต้องออกมาขอรับบริจาคจากประชาชนและเย็บหน้ากากผ้าใช้เองกันไปก่อน ในส่วนของการห้ามเข้าออกประเทศก็เพิ่งมีการประกาศยกเลิกวีซ่าสกัดนัดท่องเที่ยว 18 ประเทศกลุ่มเสี่ยง และยกเลิกฟรีวีซ่า 3 ประเทศไปเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา และเรื่องของการกักกันตัวผู้ที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงก็ได้มีการประกาศยกเลิกศูนย์กักกันตัวทั่วประเทศไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็หมายความว่าหากบุคคลที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยนั้นมีการติดเชื้อโดยที่ยังไม่ได้แสดงอาการแล้วไม่ได้มีการกักกันตัวก่อน 14 วันก็อาจจะมีการแพร่กระจายเชื้อสู่บุคคลอื่น ๆ ได้โดยง่าย อีกทั้งในความเป็นจริงแล้วพบรายงานผู้ติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการใด ๆ นานร่วม 1 เดือน ดังนั้นการกักตัวมาแล้ว 14 วันก็ไม่สามารถจะยืนยันได้ 100 % ว่าจะไม่ได้ติดเชื้อจริง และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่รัฐบาลควรจะมีการวางแผนกันอย่างเร่งด่วนก็คือการเปิดโอกาสให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้าถึงการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ง่ายขึ้น ซึ่งปัจจุบันยังมีจำนวนโรงพยาบาลที่สามารถตรวจหาโควิด 19 ได้จำกัดส่วนใหญ่จะเป็นโรงพยาบาลใหญ่ในเขตกรุงเทพมหานคร และจะตรวจฟรีก็ต่อเมื่อตรงตามเงื่อนไขเท่านั้น ซึ่งหากรัฐบาลยอมทุ่มเทงบประมาณยกระดับการตรวจหาโควิด 19 ให้เป็นรัฐสวัสดิการก็อาจจะทำให้พบจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น ซึ่งจะสามารถนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาได้อย่างทันท่วงทีอย่างเช่นที่ประเทศจีนหรือเกาหลีใต้ เป็นต้น ภาพจาก freepik วิธีการรับมือกับโควิด 19 ในวันที่มีการระบาดใหญ่และแพร่กระจายไปทั่วโลก ? จากมาตรการการรับมือโควิด 19 ของสาธารณสุขในประเทศไทยจะเห็นว่ายังมีช่องโหว่ของการแพร่กระจายเชื้ออยู่อีกมาก ดังนั้นคนไทยทุกคนจึงควรจะระมัดระวังตัวเองและทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการป้องกันการติดเชื้อโคโรนาไวรัสอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการล้างทำความสะอาดมืออย่างถูกวิธีหลีกเลี่ยงใช้มือที่สัมผัสกับพื้นผิวอื่นมาสัมผัสบริเวณใบหน้า สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องเดินทางไปยังสถานที่หรือสัมผัสกับบุคคลอื่น ๆ ในแหล่งชุมชน และงดการเดินทางออกนอกประเทศจนกว่าสถานการณ์การระบาดจะคลี่คลาย ก็จะช่วยให้ห่างไกลจากการติดเชื้อโคโรนาไวรัสได้ และแม้ว่าในอดีตที่ผ่านมาโลกเราจะเคยเกิดโรคระบาดใหญ่เช่นเดียวกันอย่างโควิด 19 มาแล้ว อย่างไข้หวัดนก และ โรคติดเชื้อไวรัส HIV ซึ่งถึงแม้ว่าการระบาดของทั้งสองโรคนี้จะเป็นอันสิ้นสุดลงไปและในที่สุดเหล่ามวลมนุษยชาติก็สามารถหาทางเอาชนะไวรัสร้ายเหล่านี้จนได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะนิ่งนอนใจกับโรคโควิด 19 โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบุคลากรด้านสาธารณสุขเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะหากเราทุกคนไม่ร่วมด้วยช่วยกันแล้วละก็ โอกาสที่มนุษย์ทุกคนจะต้องปราชัยในสงครามโควิดครั้งนี้ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย ข้อมูลประกอบการเขียนบทความจาก องค์การอนามัยโลก กรมควบคุมโรคติดต่อประเทศไทย