สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาวเกมเมอร์สาย JRPG ทุกท่าน! วันนี้ผมจะขอพาทุกคนดำดิ่งสู่โลกแห่ง "คุโรโนะคิเซกิ" หรือในชื่อภาษาอังกฤษที่คุ้นหูกันว่า "The Legend of Heroes: Trails through Daybreak" ภาคแรกแห่งการผจญภัยครั้งใหม่ในสาธารณรัฐคาลวาร์ด (Calvard Republic) กันครับ หลังจากที่รอคอยกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุดก็ได้เวลาที่เราจะได้สัมผัสเรื่องราวบทใหม่ในจักรวาล Trails กันแล้ว! บอกเลยว่าภาคนี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลายอย่าง ทั้งระบบการต่อสู้, การนำเสนอ, และบรรยากาศของเกมที่เปลี่ยนไปจากภาคก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่จะดีขึ้นหรือแย่ลง? จะถูกใจแฟนๆ รุ่นเก่า หรือจะดึงดูดผู้เล่นหน้าใหม่ได้หรือไม่? เราจะมาเจาะลึกกันในรีวิวนี้ พร้อมกับใส่ความรู้สึกส่วนตัวแบบไม่กั๊กของผมลงไปด้วยครับ! เนื้อหาเรื่องราวและการนำเสนอ: การผสมผสานระหว่างความเข้มข้นและความแปลกใหม่ ผมขอเริ่มจากสิ่งที่ผมประทับใจที่สุดใน Daybreak ก่อนเลย นั่นก็คือ "เรื่องราว" และ "การนำเสนอ" ครับ ภาคนี้ยังคงรักษามาตรฐานอันยอดเยี่ยมของซีรีส์ Trails เอาไว้ได้ ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้น ชวนติดตาม เต็มไปด้วยปมปริศนา และการหักมุมที่คาดไม่ถึง แต่สิ่งที่ทำให้ Daybreak แตกต่างออกไปคือ "บรรยากาศ" ครับ ภาคนี้ไม่ได้เริ่มเรื่องในโรงเรียนเตรียมทหาร หรือในหน่วยรบพิเศษ เหมือนภาคก่อนๆ แต่เราจะได้รับบทเป็น "แวน อาร์คไรด์" (Van Arkride) ชายหนุ่มผู้ทำอาชีพ "สปริกกัน" (Spriggan) ที่รับจ้างทำงานสารพัด ตั้งแต่สืบคดี, คุ้มกัน, ไปจนถึงงานสีเทาๆ ที่กฎหมายเอื้อมไม่ถึง การดำเนินเรื่องในช่วงแรกอาจจะดูเอื่อยๆ ไปบ้าง เพราะต้องปูพื้นฐานตัวละครและโลกของคาลวาร์ด แต่พอเข้าสู่ช่วงกลางเรื่องเท่านั้นแหละ ความเข้มข้นก็เริ่มทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกเหมือนกำลังดูซีรีส์สืบสวนสอบสวนชั้นดี ที่มีกลิ่นอายของความเป็นไซไฟแฟนตาซีผสมอยู่ ตัวละครแต่ละตัวก็มีเสน่ห์ มีมิติ มีปมหลังที่น่าสนใจ ทำให้เราอยากรู้เรื่องราวของพวกเขามากขึ้น สิ่งที่ผมชอบมากอีกอย่างคือ การที่ Daybreak กล้าที่จะนำเสนอประเด็นที่ "ผู้ใหญ่" มากขึ้น ทั้งเรื่องการเมือง, การทุจริต, ความเหลื่อมล้ำในสังคม, และความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ซีรีส์ Trails ไม่ค่อยได้แตะต้องมาก่อน ทำให้ผมรู้สึกว่าโลกของ Daybreak มัน "จริง" และ "จับต้องได้" มากกว่าภาคก่อนๆ ระบบการต่อสู้: ความรวดเร็ว ฉับไว และกลยุทธ์ที่ลึกซึ้ง มาถึงเรื่องระบบการต่อสู้กันบ้างครับ Daybreak มีการปรับปรุงระบบครั้งใหญ่ จากเดิมที่เป็น Turn-Based แบบดั้งเดิม กลายมาเป็นระบบที่เรียกว่า "Action Battle" และ "Command Battle" ซึ่งสามารถสลับสับเปลี่ยนกันได้ตลอดเวลา Action Battle: เป็นการต่อสู้แบบ Real-Time ที่เราสามารถควบคุมตัวละครได้อย่างอิสระ โจมตี, หลบหลีก, และใช้ท่าไม้ตายได้แบบทันที ผมรู้สึกว่าระบบนี้ทำให้การต่อสู้มีความรวดเร็ว ฉับไว และสนุกมากขึ้น แต่ก็ต้องใช้สมาธิและทักษะในการควบคุมพอสมควร เพราะศัตรูในภาคนี้ก็ไม่ได้หมูๆ เลย Command Battle: เป็นระบบ Turn-Based แบบดั้งเดิม ที่เราสามารถเลือกคำสั่งต่างๆ ได้อย่างละเอียด เช่น การโจมตี, การใช้ Arts (เวทมนตร์), การใช้ Crafts (ท่าไม้ตาย), และการใช้ไอเทม ระบบนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบวางแผนการต่อสู้แบบรอบคอบ หรือต้องการใช้ท่าไม้ตายที่รุนแรง การที่สามารถสลับไปมาระหว่างสองระบบนี้ได้ ทำให้การต่อสู้มีความหลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้น เราสามารถเลือกใช้ระบบที่ถนัด หรือปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้ตลอดเวลา ซึ่งผมมองว่าเป็นข้อดีมากๆ ระบบ Orbment และ Shard Skill: การปรับแต่งตัวละครที่อิสระและสร้างสรรค์ ระบบ Orbment หรือการติดตั้ง Quartz เพื่อเพิ่มความสามารถให้กับตัวละคร ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของซีรีส์ Trails และใน Daybreak ก็มีการปรับปรุงให้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น ด้วยระบบใหม่ที่เรียกว่า "Shard Skill" Shard Skill คือความสามารถพิเศษที่เราสามารถติดตั้งให้กับตัวละครได้ โดยจะได้รับจากการทำเควส, การสำรวจ, หรือการต่อสู้กับศัตรูบางชนิด Shard Skill แต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป เช่น เพิ่มพลังโจมตี, เพิ่มความเร็ว, หรือเพิ่มโอกาสในการติดสถานะผิดปกติ การผสมผสานระหว่าง Quartz และ Shard Skill ทำให้เราสามารถปรับแต่งตัวละครได้อย่างอิสระและสร้างสรรค์มากขึ้น เราสามารถสร้างตัวละครที่มีความสามารถเฉพาะตัว หรือสร้างทีมที่มีความสมดุลในด้านต่างๆ ได้ตามใจชอบ กราฟิกและเพลงประกอบ: การยกระดับที่เห็นได้ชัด ในส่วนของกราฟิก Daybreak ถือว่าเป็นการยกระดับจากภาคก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด ทั้งโมเดลตัวละคร, ฉาก, และเอฟเฟกต์ต่างๆ ดูสวยงามและมีความละเอียดมากขึ้น โดยเฉพาะการออกแบบเมืองหลวง "เอดิธ" (Edith) ที่มีความกว้างใหญ่และมีชีวิตชีวา ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้เดินอยู่ในเมืองจริงๆ เพลงประกอบก็ยังคงรักษามาตรฐานอันยอดเยี่ยมของซีรีส์ Trails เอาไว้ได้ ด้วยดนตรีที่ไพเราะ ติดหู และเข้ากับบรรยากาศของเกมได้อย่างลงตัว ผมชอบเพลงประกอบฉากต่อสู้ในภาคนี้มากเป็นพิเศษ เพราะมันทำให้การต่อสู้ดูตื่นเต้นและเร้าใจมากขึ้น ประสบการณ์ส่วนตัวและความรู้สึกหลังเล่นจบ: โดยรวมแล้ว ผมรู้สึกประทับใจกับ The Legend of Heroes: Trails through Daybreak มากครับ มันเป็นการผจญภัยครั้งใหม่ที่สนุก ตื่นเต้น และเต็มไปด้วยความประทับใจ ผมชอบที่เกมกล้าที่จะนำเสนอสิ่งใหม่ๆ แต่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของซีรีส์ Trails เอาไว้ได้ ถึงแม้ว่าในช่วงแรกของเกมอาจจะดูเนิบๆ ไปบ้าง แต่พอเข้าสู่ช่วงกลางเรื่อง ความเข้มข้นก็เริ่มทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ จนผมวางจอยไม่ลงเลยทีเดียว ตัวละครแต่ละตัวก็มีเสน่ห์ มีมิติ และน่าจดจำ ผมรู้สึกผูกพันกับตัวละครเหล่านี้มากๆ และอยากจะติดตามเรื่องราวของพวกเขาต่อไป ระบบการต่อสู้ก็ทำออกมาได้ดีมากๆ ทั้ง Action Battle และ Command Battle ต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ทำให้การต่อสู้มีความหลากหลายและไม่น่าเบื่อ กราฟิกและเพลงประกอบก็ยอดเยี่ยม ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ สรุป: The Legend of Heroes: Trails through Daybreak เป็นเกม JRPG ที่ยอดเยี่ยม และเป็นภาคต่อที่สมศักดิ์ศรีของซีรีส์ Trails ผมขอแนะนำเกมนี้ให้กับแฟนๆ JRPG ทุกคน โดยเฉพาะแฟนๆ ซีรีส์ Trails ที่รอคอยภาคนี้มาอย่างยาวนาน รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ! คะแนน: 9.5/10 เครดิตภาพ ทางผู้เขียนได้ซื้อเกมนี้มาเล่นเองถ่ายรูปลงเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !