ครั้งที่แล้ว ได้นำเสนอการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่าง 2 คอลัมน์โดยการใช้ Conditional Formatting ใน Excel กันไปแล้ว แต่อาจจะยังไม่สะดวกต่อการใช้งานนัก วันนี้จะมานำเสนอการเปรียบเทียบข้อมูลโดยใช้งาน Formula ใน Excel กันดูครับ1. เปรียบเทียบข้อมูล 2 คอลัมน์ที่ซ้ำกันด้วยการระบุค่าเป็น TRUE หรือ FALSEสำหรับวิธีที่ 1 นี้เราจะได้ผลลัพธ์ในคอลัมน์ถัดจากข้อมูลทั้งสองที่เรานำมาเปรียบเทียบกัน โดยในคอลัมน์ที่แสดงผลลัพธ์นั้นจะแสดงค่า TRUE ถ้าข้อมูลทั้งสองคอลัมน์ซ้ำกัน และแสดงค่า FALSE ถ้าข้อมูลทั้งสองคอลัมน์ไม่ซ้ำกันในคอลัมน์ที่สาม เราจะใช้สูตรหรือ Formula =A2=B2 เพื่อเปรียบเทียบสองคอลัมน์แรก หลังจากใส่สูตรในคอลัมน์ที่สามเสร็จเรียบร้อยเราจะเจอผลลัพธ์ TRUE หรือ FALSE แสดงออกมา ซึ่งเราสามารถที่จะใช้ Filter ใน Excel เพื่อแสดงเฉพาะผลลัพธ์ที่ต้องการได้(ภาพการใช้สูตรหรือ Formula ในการเปรียบเทียบข้อมูลสองคอลัมน์)แต่สำหรับวิธีนี้จะมีจุดอ่อนก็คือถ้ามีข้อมูลในคอลัมน์ที่ 1 และคอลัมน์ที่ 2 ซ้ำกันแต่อยู่กันคนละบรรทัด การใช้สูตรหรือ Formula ข้างต้นก็จะตรวจสอบไม่พบ เราจะแก้ปัญหาเหล่านี้ในวิธีการถัดๆ ไปนะครับ 🙄 2. เปรียบเทียบข้อมูล 2 คอลัมน์โดยใช้คำสั่ง (Formula) IFวิธีนี้จะค่อนข้างคลายกับวิธีการแรก เพียงแต่เราใช้คำสั่ง (Formula) IF แทน ซึ่งจะสามารถใส่เงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติมรวมถึงสามารถกำหนดข้อความผลลัพธ์ที่ต้องการแสดงได้ด้วย แทนที่จะใช้ TRUE หรือ FALSE ในการแสดงผลลัพธ์ เช่นจะใช้คำว่า Data matches หรือ Data doesn't match แทนได้วิธีการคือใช้คำสั่ง (Formula) =IF(A2=B2, "Data Matches", "Data Doesn’t Match") เพื่อเปรียบเทียบสองคอลัมน์แรก เมื่อใส่คำสั่งในคอลัมน์ที่สามแล้วเราจะเจอผลลัพธ์ Data Matches สำหรับข้อมูลที่ซ้ำกันระหว่างสองคอลัมน์แรก และ Data Doesn't Match ในกรณีที่ข้อมูลจากสองคอลัมน์ไม่ซ้ำกัน และในกรณีเดียวกับวิธีการที่ 1 เราสามารถใช้ Filter เพื่อกรองผลลัพธ์ที่ต้องการในคอลัมน์ที่สามได้อีกด้วย(ภาพการใช้คำสั่ง(Formula) IF ในการเปรียบเทียบข้อมูลสองคอลัมน์) 3. เปรียบเทียบข้อมูล 2 คอลัมน์ด้วยคำสั่ง VLOOKUPวิธีที่ 1 และ 2 นั้น ถ้ามีข้อมูลซ้ำแต่อยู่คนละบรรทัดจะตรวจสอบไม่พบ เราสามารถใช้คำสั่ง VLOOKUP ในการแก้ปัญหานี้ได้ โดยคำสั่ง VLOOKUP จะนำข้อมูลทุกเซลล์จากคอลัมน์ที่ 2 มาเปรียบเทียบกับข้อมูลในเซลล์ของคอลัมน์ที่ 1วิธีการคือเราจะใช้คำสั่ง =VLOOKUP(A2, $B$2:$B$10, 1, FALSE) ใส่ในคอลัมน์ที่ 3 โดยถ้าข้อมูลใดที่คอลัมน์แรกถูกตรวจสอบพบว่าซ้ำจะแสดงข้อมูลของคอลัมน์ที่ 1 (หรือคอลัมน์ A) ออกมา ส่วนข้อมูลใดที่ไม่พบจะแสดงข้อความว่า #N/A คือตรวจสอบไม่พบข้อมูลโดยการใช้งาน VLOOKUP นั้นจะประกอบไปด้วยพารามิเตอร์หรือสิ่งที่ต้องเข้าไปดังนี้(ภาพแสดงคำสั่ง VLOOKUP)value คือค่าหรือเซลล์ต้นทางที่ต้องการตรวจสอบข้อมูลtable_array คือช่วงของเซลล์ที่ต้องการตรวจสอบกับ valuecol_index ผลลัพธ์ที่ต้องการจาก table_array โดยจะระบุเป็นหมายเลขคอลัมน์ของ table_array ที่เรากำหนด[range_lookup] ถ้ามีค่าเป็น TRUE หมายถึงว่าเราจะตรวจสอบข้อมูลแบบประมาณการ (คือข้อมูลไม่ตรงต้องกันทั้งหมด) และถ้ามีค่าเป็น FALSE คือข้อมูลใน value และข้อมูลที่พบใน table_array จะต้องตรงกันทั้งหมด(ภาพแสดงการใช้งานสูตร VLOOKUP)เมื่อพิมพ์สูตรเสร็จจะพบว่าถ้าข้อมูลในคอลัมน์ A ตรงกับข้อมูลในคอลัมน์ B เมื่อใด ข้อมูลในคอลัมน์ C ก็จะถูกแสดงออกมา ส่วนข้อมูลในคอลัมน์ A ใดๆ ที่ไม่ซ้ำกับข้อมูลในคอลัมน์ B ก็จะถูกแสดงเป็นคำว่า #N/A หรือการตรวจสอบข้อมูลโดยการใช้คำสั่ง VLOOKUP ไม่พบ(ภาพแสดงผลลัพธ์จากการใช้งานคำสั่ง VLOOKUP) เราสามารถที่จะเปลี่ยนผลลัพธ์ของคำว่า #N/A ที่ได้จากคำสั่ง VLOOKUP ได้ โดยการใช้งานคำสั่ง IFERROR หรือจะใช้งานคำสั่ง IFNA ก็จะได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน แต่ทั้งสองคำสั่งอาจจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ในที่นี้จะแนะนำให้ใช้คำสั่ง IFNA จะมีข้อดีกว่า คือในกรณีที่มีข้อผิดพลาดอื่นๆ แล้วเราใช้คำสั่ง IFERROR จะทำให้เราไม่เห็นข้อผิดพลาดนั้นๆ ได้นะครับ เราสามารถใช้งานคำสั่ง IFNA หรือ IFERROR กับคำสั่ง VLOOKUP ได้ดังนี้=IFNA(VLOOKUP(A2,$B$2:$B$10,1,FALSE), "Data Doesn't Match")หรือ=IFERRROR(VLOOKUP(A2,$B$2:$B$10,1,FALSE), "Data Doesn't Match")และเมื่อใช้งานคำสั่งดังกล่าวแล้ว จะได้ผลลัพธ์ดังภาพนะครับ(ภาพแสดงผลลัพธ์จากการใช้งานคำสั่ง IFNA หรือ IFERROR กับคำสั่ง VLOOKUP) น่าจะนำไปประยุกต์ต่อกันได้แล้วนะครับ 😬😬 ภาพโดยนักเขียนหมีขั้วโลก ทอดกรอบ〔´(エ)`〕 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !