การมาของ Facebook Protect สร้างความสั่นสะเทือนให้ชาวเน็ตระดับ 8 ริกเตอร์ ข้อความถูกแชร์ต่อกันมาว่าถ้าไม่ไปเปิดเฟซบุ๊กหายแน่ ได้พูดถึงภาพรวมในบทความ สรุปเข้าใจง่าย 5 สิ่งควรรู้เมื่อ Facebook เปลี่ยนเป็น Meta กระทบอะไรกับเรา กันไปแล้วเพราะการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ Metaverse กับ Facebook Protect นั้นเกี่ยวข้องโดยตรงแยกกันไม่ออก หากบัญชีเฟซบุ๊กได้รับข้อความแจ้งเตือนให้ทำการ “ยืนยันตัวตน” หลายคนพบปัญหาพอสมควรเช่นอีเมลลงทะเบียนไม่ได้ใช้งานจำรหัสไม่ได้แล้ว หรือจะรับ OTP หมายเลขนั้นโยนซิมทิ้งเลิกใช้ไปเป็นปี มันมีหลายสิ่งที่ “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ไม่ได้บอกคุณ” หากต้องการให้บัญชีของเราอยู่ในมาตรฐานในระดับอัลกอริทึมระบบตรวจสอบของ Facebook พอใจ ขอรวม 10 ทริคแก้ปัญหา Facebook Protect รับรองว่าทำตามนี้เฟซบุ๊กไม่ปลิวแน่นอน 1. ทำที่บ้าน ผ่านง่ายกว่าทำข้างนอก เป็นอีกเรื่องลับที่ไม่ลับ ทุกครั้งการล็อกอินระบบ AI ของเฟซบุ๊กมีการประเมินอยู่เบื้องหลังว่า ณ สถานที่นั้นเจ้าของบัญชีมีการใช้งานอยู่เป็นประจำหรือเปล่า โดยทั่วไปแล้วมักไม่มีใครกดล็อกเอาต์บ่อย ๆ เลยไม่ทราบฟีเจอร์ลับนี้ มีสิ่งยืนยันการมีอยู่จริงด้วยการลองออกจากระบบ แล้วไปล็อกอินเข้าใหม่ในสถานที่ไม่เคยไป จะได้อีเมลตามภาพ และเป็นเหตุผลให้เมื่อทำการยืนยัน Facebook Protect ระบบมองว่า “มันไม่ใช่คุณ” ทำยังไงไม่ผ่านสักที SMS ไม่ยอมมา ลองกลับมาทำที่บ้านดูครับรับรองผ่านง่ายมาก 2. ใส่เบอร์โทรแบบสากล เพื่อรับ SMS ต่อเนื่องจากข้อแรก มั่นใจว่าทำที่บ้านตัวเองไม่ใช่บ้านกิ๊ก รอแล้วรอเล่า SMS ไม่ยอมส่งรหัสยืนยัน OTP มาสักที คนทำธุรกรรมการเงินบ่อย ๆ ทราบดีว่ามีทริคให้ลองเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ที่บันทึกไว้ใน Facebook จาก 089xxxxxxx เป็นเพิ่มรหัสประเทศ +66 แทนศูนย์ตัวแรก เช่น +6689xxxxxxx จากไม่มา มาช้า จะมาแบบรวดเร็วทันใจไม่ต้องรอนาน 3. ไม่ได้รับแจ้งเตือน Facebook Protect ไม่ต้องตกใจเพราะแสดงว่าบัญชีของเราปลอดภัยแล้ว มีตัวตนในระดับมาตรฐานตามเฟซบุ๊กต้องการ มีวิธีเช็กง่าย ๆ ในหน้า “การตรวจสอบความเป็นส่วนตัว” ผ่านลิงก์ www.facebook.com/privacy/checkup แล้วคลิก “วิธีการรักษาบัญชีของคุณให้ปลอดภัย” หากขึ้นว่า คุณดำเนินการเรียบร้อยแล้ว นั่นหมายถึงเราผ่าน 3 ขั้นตอนแบบฉลุย รับประกันว่าเฟซบุ๊กเราไม่ปลิวด้วยสาเหตุ Facebook Protect แน่นอน จึงเป็นสาเหตุให้เราไม่ได้รับการแจ้งเตือนแบบเพื่อนเราที่ไม่ได้ใช้ชื่อ-นามสกุลจริง หรือเอารูปหมาแมวเป็นโพรไฟล์แน่นอนครับว่า “มันไม่ยืนยันการมีตัวตน” 4. เปลี่ยนเป็นรูปจริง ชื่อ-นามสกุลจริง ก่อนทำ Facebook Protect การใช้ชื่อ-นามสกุล แบบเต็มรูปแบบ ช่วยให้การยืนยันตัวตนง่ายขึ้นตามไปด้วย หากไม่ผ่านสักทีลองเช็กว่าชื่อเฟซเราคืออะไร รูปโพรไฟล์ที่ใช้สื่อถึงความเป็น Human หรือลักษณะความเป็นมนุษย์หรือเปล่า หากไม่เข้าข่ายอย่างใดอย่างหนึ่งเลยเช่นชื่อ+รูปโพรไฟล์ “ไม่สื่อความเป็นตัวเรา” คงต้องยอมปฏิบัติตามมาตรฐานของเค้าเพื่อรักษาบัญชีไม่ให้ถูกระงับ 5. ต้องมีภาพปรากฏใน “รูปที่มีคุณ” ตรวจสอบได้ในหน้า “รูปภาพ” นั่นคืออัลกอริทึมของเฟซบุ๊กทำการคัดกรองรูปที่มีเราปรากฏในภาพสำเร็จแล้ว นั่นหมายถึงระบบรู้จักใบหน้าของเจ้าของบัญชี หากช่องนี้ว่างเปล่าโอกาสยืนยัน Facebook Protect ผ่าน “น้อยลงตามไปด้วย” เพราะหลายคนสมัครเฟซมาไม่เคยลงรูปของตัวเอง เวลาที่เหลืออยู่ก่อนครบ 15 วันให้โพสต์ลงไทม์ไลน์แบบจัดเต็ม มาถึงตรงนี้หลายคนร้องจ๊าก! เพราะไม่สะดวกลงหน้าจริง ไม่เป็นไรเรามีทริคเด็ดข้อต่อไปครับ 6. ซ่อนรูปภาพให้เห็นแค่เพื่อนบางคน ในหน้าไทม์ไลน์สามารถจัดการมองเห็นโพสต์จากสาธารณะ-เพื่อน ให้แคบลงเป็น “เพื่อนบางคนเห็นได้เท่านั้น” สามารถดูได้ (ต้องไม่เห็นแค่ตัวเอง) ระหว่างนี้อัดโพสต์ไปให้เห็นว่าเป็นมนุษย์ใช้งานปกติโดยเน้นรูปจริง เอาแค่ให้ผ่าน Facebook Protect ก่อนแล้วค่อยไปปิดการมองเห็นทีหลังเอา ถ้าไม่ทำอะไรเลยโอกาสปลิวมีสูงมากถ้าไม่มีรูปเราเลยอยู่ในเฟซ 7. ลืมรหัสผ่านทำอย่างไรดี? หากไม่ใส่นานลืมรหัสผ่าน ให้กดล็อกเอาต์ออกมาเพื่อทำการขอรหัสใหม่ด้วยการคลิก “ลืมรหัสผ่าน” ระบบจะส่งรหัสยืนยัน ผ่านอีเมล หรือ SMS หมายเลขที่ลงทะเบียน อย่าไปมั่วในขั้นตอน Facebook Protect เด็ดขาด! เพราะหากใส่ผิดหลายครั้งถูกระงับชั่วคราว แถมยังถูกเพ่งเล็งว่าไม่ใช่เจ้าของเฟซ “ให้ได้รหัสใหม่เสียก่อนค่อยไปทำ” ช่วยให้ทำสำเร็จง่ายขึ้น 8. อีเมลกับเบอร์โทร เลิกใช้นานแล้ว ในกรณีลืมทุกอย่างเลย แถมอีเมลกับเบอร์โทรหายสาบสูญ แต่มีข้อแม้ว่าคุณยัง “สามารถเข้าเฟซได้” วิธีแก้ปัญหาเพียงแค่เข้าไปหน้า การตั้งค่าบัญชีทั่วไป ผ่านลิงก์ www.facebook.com/settings เพิ่มอีเมลปัจจุบัน รอรับรหัสผ่านยืนยัน จากนั้นลบอีเมลไม่ได้ใช้งานออก เพียงเท่านี้การส่งรหัสยืนยัน Facebook Protect จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป 9. ไม่ได้รหัสยืนยันจากอีเมลสักที เป็นเรื่องแปลกที่อีเมลสำคัญมักไปอยู่ “กล่องขยะ” แล้วไม่มีการแจ้งเตือน วิธีการเช็กคือเข้าไปดูในถังขยะจดหมาย หรือ Junkmail หากไม่เจอให้ไล่หาดูทุกช่อง หรือนำคีย์ “Facebook” ใส่ช่องค้นหา หากมั่นใจว่าไม่มีปัญหาระบบอินเทอร์เน็ต อีเมลจาก Facebook จะไปอยู่ในที่ไหนสักที่ในกล่องจดหมายของเรา 10. ติดต่อเจ้าหน้าที่ซัพพอร์ต วิธีการนี้คือทำทุกวิถีทางแต่ยังไม่ผ่านจริง ๆ จนหมดช่วงเวลา 15 วัน เฟซสุดที่รักล่องลอยไปเรียบร้อยแล้ว ยังเหลือช่องทางอุทธรณ์ติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ในหน้า https://www.facebook.com/help/contact จากนั้นแนบเอกสารยืนยันตัวตนตามคำแนะนำในหน้าซัพพอร์ต แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่าถ้าทำทุกอย่างตามด้านบนแล้วยังไม่ผ่าน Facebook Protect นั่นหมายความว่าบัญชีของคุณมันไม่ผ่านเกณฑ์ตั้งแต่ต้นแล้ว โอกาสได้กลับคืนมายากมาก คงต้องภาวนากันล่ะครับ เป็นอย่างไรบ้างครับกับ 10 ทริคแก้ปัญหา Facebook Protect แม้ต้องปรับตัว แต่เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย Metaverse การเปิดเผยตัวตนจึงสร้างความชัดเจน คล่องตัวในการติดต่อทำธุรกรรม เป็นสิ่งสำคัญสำหรับโลกดิจิทัล สุดท้ายแล้วผลประโยชน์ย่อมตกอยู่กับผู้ใช้งานอย่างเรานั่นเองครับ 🤗 .. ภาพประกอบโดย ภาพปก / Meta Official : ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2-8 จากการใช้งานจริง / Pixabay ChrisFiedler : พื้นหลัง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายบน App TrueID โหลดเลย ฟรี !