รีเซต

'เฮียฝา' เศรษฐี 100 ล้าน ตลาดหนองตม ร้องศูนย์ดำรงธรรม เงินฝาก 9 บัญชีหายไปกว่า 50 ล้าน

'เฮียฝา' เศรษฐี 100 ล้าน ตลาดหนองตม ร้องศูนย์ดำรงธรรม เงินฝาก 9 บัญชีหายไปกว่า 50 ล้าน
มติชน
12 ตุลาคม 2564 ( 15:22 )
160

‘เฮียฝา’ เศรษฐีร้อยล้าน ตลาดหนองตม พร้อมลูกชาย ร้องศูนย์ดำรงธรรมพิษณุโลก ช่วยตรวจสอบเงินในบัญชีธนาคารหายกว่า 50 ล้านบาท

 

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลก นายประเสริฐ แก้วผกาผ่องศรี หรือเฮียฝา อายุ 77 ปี ชาว ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก พร้อมด้วยนายสมยศ พงศ์กิตติไพสิฐ อายุ 52 ปี บุตรชาย เดินทางมาร้องทุกข์ที่ศูนย์ดำรงธรรม กรณีเงินฝากในบัญชีธนาคาร จำนวน 9 บัญชี สูญหายไปกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งได้ไปขอสเตทเมนท์แบบละเอียดตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.62 จนถึงวันที่ 25 ส.ค.64 จากธนาคารแห่งหนึ่งใน จ.พิษณุโลก กลับถูกบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมให้สเตทเมนท์ จึงต้องไปร้องเรียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 ก.ค.64

 

ต่อมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้แจ้งธนาคารสำนักงานใหญ่ที่ฝากเงินบัญชีพิจารณาติดตามและตรวจสอบบัญชีเงินฝากตามหนังสือร้องเรียนดังกล่าว กระทั่งธนาคารแห่งหนึ่งของ จ.พิษณุโลก ให้สเตทเมนท์มาเพียง 3 บัญชี เหลืออีก 6 บัญชีที่ยังไม่ได้ให้มา

 

จากการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่าเงินในบัญชีถูกอดีตผู้จัดการธนาคาร ซึ่งเป็นลูกเขยของนายประเสริฐ ถอนออกไป โดยการโอนแบบไม่มีสมุดบัญชี ประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งโอนไปเข้าบัญชีภรรยาของอดีตผู้จัดการธนาคาร และเป็นลูกเลี้ยงของนายประเสริฐ อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาได้ติดตามสอบถามเรื่องสเตทเมนท์ของบัญชีทั้งหมด แต่กลับถูกธนาคารบ่ายเบี่ยง กลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงพากันเดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมจากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลก และหลังจากนี้จะได้เดินทางไปแจ้งความที่กองปราบปรามเพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย

 

นายประเสริฐเปิดเผยว่า เริ่มต้นชีวิตจากเสื่อผืนหมอนใบ ทำธุรกิจหลายอย่าง อาทิ ค้าขายข้าวเปลือกอยู่ในตลาดหนองตม ปล่อยเงินกู้ รับฝากจำนองโฉนดที่ดินจนมีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านบาท และได้แต่งงานกับภรรยา คือนางกิมเต็ง บุญนวล อายุ 74 ปี แต่เสียชีวิตไปแล้วกว่า 10 ปี มีลูกแท้ๆ ด้วยกัน 2 คน เป็นบุตรชายทั้งคู่ ส่วนภรรยาก็มีลูกติดมาด้วย จำนวน 3 คน แต่เสียชีวิตไปแล้ว 1 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นภรรยาของอดีตผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่ง แต่เกษียณอายุไปแล้วประมาณ 2 ปี กระทั่งภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อปี พ.ศ. 2554 จึงตกลงแบ่งทรัพย์สินกันเมื่อปี พ.ศ.2560 จำนวน 5 คน ประกอบด้วย ลูกแท้ๆ 2 คน และลูกเลี้ยงอีก 2 คน รวมตนเองอีก 1 คน รวมทั้งหมด 5 คน แบ่งเงินในบัญชีคนละประมาณ 20 ล้านบาท ยังไม่รวมทรัพย์สินอื่นๆ

 

นายประเสริฐกล่าวว่า ต่อมาลูกชายคนโต คือนายสมยศ พงศ์กิตติไพสิฐ ได้สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างจึงมาบอกกับตนให้ตรวจสอบเงินทั้งหมดในบัญชีธนาคารที่มีอยู่ ปรากฏว่าเงินบัญชีธนาคารถูกถอนโดยไม่มีสมุดบัญชี และมีการทำตั๋วแลกเงินไม่สั่งจ่ายเป็นเช็คหลายครั้ง รวมยอดเงินทั้งหมดประมาณ 50 ล้านบาท จึงรู้สึกไม่สบายใจที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น และพยายามหาหลักฐานสำคัญต่างๆ เพื่อดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

 

ด้านนายสมยศกล่าวว่า เมื่อก่อนพ่อจะอยู่ในความดูแลของลูกเลี้ยงทั้ง 3 คน ส่วนตนทำธุรกิจร้านแอร์อยู่ในตัวเมืองพิษณุโลก นานๆ ครั้งจะกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่ตลาดหนองตม อ.พรหมพิราม กระทั่งแม่เสียชีวิตจึงมีการแบ่งมรดกทรัพย์สินต่างๆ ให้เท่าๆ กัน

 

นายสมยศกล่าวว่า พอแบ่งมรดกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลูกเลี้ยงกลับไม่เอาใจใส่ดูแลพ่อเหมือนแต่ก่อน จนสุดท้ายมารู้เรื่องว่าเงินในบัญชีของพ่อถูกถอนไปอย่างน่าสงสัยมากกว่า 50 ล้านบาท แต่ตนหาหลักฐานสเตทเมนท์มาได้เพียง 3 บัญชีเท่านั้น อีก 6 บัญชี ธนาคารกลับปฏิเสธไม่ยอมให้ จึงได้ทำเรื่องร้องไปยังผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ล่าสุดมีหนังสือตอบกลับมาเรียบร้อยแล้ว วันนี้จึงต้องการกู้ศักดิ์ศรีของพ่อกลับคืนมา เพราะที่ผ่านมาพ่อทำมาหากินเลี้ยงดูทุกคนมาเป็นอย่างดี กลับมาทำผู้มีพระคุณเช่นนี้

 

ต่อมา นายอธิปไตย ไกรราช ผอ.กลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลก ได้รับหนังสือร้องเรียน พร้อมรับปากจะดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือ และจะตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายต่อไป