"กรุงศรีพัฒนสิน" แนะกลยุทธ์ลงทุนช่วงก่อน-หลังเลือกตั้ง
บล.กรุงศรี พัฒนสิน มองการเลือกตั้งจะมีผลต่อภาวะตลาดหุ้นอย่างไร โดยกลยุทธ์การลงทุนก่อนและหลังการเลือกตั้ง ควรจะเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มใดที่ให้ผลตอบแทนที่ดี รวมถึงประเมินทิศทางขงอดัชนีหุ้นไทยจะอยู่ในระดับใด
ฝ่ายวิจัยกรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า ปัจจัยด้านการเมืองซึ่งจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. 2566 โดยต้องติดตามผลสำรวจการเลือกตั้ง จะสะท้อนโครงสร้างการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งบ่างชี้ถึงระดับเสถียรภาพที่บอกถึงความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ โดยในรอบนี้ เชื่อว่ามีโอกาสที่จะเห็นภาพ Election Rally ช่วงคาบเกี่ยวก่อน –หลัง 5-6 เดือนระหว่างการเลือกตั้งที่ SET จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยผลตอบแทนช่วงเลือกตั้งย้อนหลัง 5 ครั้งในระดับราว 6-7% โดยมอง 3 องค์ประกอบหลักปัจจุบันที่จะหนุนเกิดภาพดังกล่าว คือ
1) SET Index มีValuation อยู่ในระดับน่าสนใจ คือ มี PER2023 อยู่ที่ราว 15.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 17.3 เท่า
2) ประเทศไทยไม่มีการจัดตั้งเลือกตั้งทั่วไปมานาน โดยรัฐบาลชุดที่สามารถอยู่ครบภาระ 4 ปีแทบไม่เกิดขึ้นในระยะหลัง สร้างความคาดหวังต่อการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสดใหม่ของพรรคการเมืองต่างๆ
3) ความเสี่ยงที่การเลือกตั้งจะเผชิญปัญหาข้อข้ดแย้งเรื่องกฎเกณฑ์การจัดเลือกตั้งค่อนข้างต่ำ เนื่องจากกฎเกณฑ์ที่ใช้เป็นการพิจารณาร่วมกันของทุกฝ่ายที่มีความเกี่ยวข้อง ขณะที่ประเด็นที่มีความเสี่ยงเป็นปัญหาล้วนผ่านการพิจารณาข้อสงสัยด้วยกระบวนการศาลแล้ว
อิงสถิติการเลือกตั้งรอบ 5 ครั้งหลังสุด อุตสาหกรรมที่มักให้ผลตอบแทนเป็นบวก ด้วยความเป็นไปได้สูงเกินกว่า 60% ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในกลุ่มอิงเศรษฐกิจภายใน สอดคล้องภาพคาดการณ์เม็ดเงินหาเสียงช่วงก่อนเลือกตั้งที่มักอยู่ในระดับ 5.0-8.0 หมื่นล้านบาท แต่ปี 2566เห็นสัญญาณมากขึ้นสู่ระดับ 1.0-1.2 แสนล้านบาท ภายใต้การแข่งขันพรรคการเมืองที่เข้มข้น จึงเชื่อว่าน่าจะยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเห็นความคาดหวังผลบวกส่งผ่านมายังหุ้นกลุ่มดังกล่าวสูงกว่าปีปกติโดยสรุปแล้ว อิงสถิติในอดีต ฝ่ายวิจัยเห็นภาพการเคลื่อนไหวดัชนีรายอุตสาหกรรมในช่วงเวลาต่างๆ ดังนี้
• กลุ่มที่ Outperform ก่อนการเลือกตั้ง 1 เดือนด้วยความน่าจะเป็น 100% คือ กลุ่มบันเทิง (ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.05%) ความน่าจะเป็น 80% คือ กลุ่มโรงแรม(ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.28) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์(ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.95%) ความน่าจะเป็น 60% คือ กลุ่มธนาคาร (ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.73%) กลุ่มเช่าซื้อ (ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.99%)
• กลุ่มที่ Outperform หลังการเลือกตั้ง 1 เดือนด้วยความน่าจะเป็น 80% คือ กลุ่มโรงแรม (ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.47%), กลุ่มค้าปลีก (ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.7%) กลุ่มพลังงาน (ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.17%), กลุ่มสื่อสาร (ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.73%)
• กลุ่มที่ Outperform หลังการเลือกตั้ง 3 เดือนด้วยความน่าจะเป็น 80% คือกลุ่มพลังงาน (ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.02%), กลุ่มค้าปลีก (ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.1%)กลุ่มอสังหาริมทรัพย์(ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.2%)
• กลุ่มที่ Outperform หลังการเลือกตั้ง 6 เดือนด้วยความน่าจะเป็น 80% คือ กลุ่มพลังงาน (ผลตอบแทนเฉลี่ย 10.9%), กลุ่มค้าปลีก (ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.3%) กลุ่มบันเทิง (ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.6%)
ทั้งนี้ส่วนที่จะมีผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ที่กำหนดไว้ให้เกิดขึ้นจริง ปัจจัยชี้นำจะอยู่ที่จำนวนที่นั่งของพรรคแกนนำที่จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งคาดจะเป็นเรื่องที่กำหนดระดับของ Election Rally ที่จะเกิดขึ้น โดยประเมินความเป็นไปได้กรณีต่างๆ ดังนี้
• กรณีที่ดีที่สุด (Best) คือ แกนนำจัดตั้งรัฐบาลเป็นพรรคใดพรรคหนึ่งชนะแบบ Landslide และมีจำนวนเสียงมากกว่า 375 เสียง ฝ่ายวิจัยประเมินระดับ Election Rally ที่15%-17.5% จากระดับปัจจุบัน โดยลุ้นกรอบดัชนี1,862-1,902 จุด อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังให้โอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างน้อย
• กรณีฐาน (Base) คือ แกนนำจัดตั้งรัฐบาลอยู่ในรูปแบบที่พรรคใดพรรคหนึ่งได้เสียงมากกว่า 250 เสียง+พรรคร่วมรัฐบาลอื่น หรือ มี 2 พรรคแกนนำหลักที่มีเสียงมากกว่า 250 เสียง+พรคคร่วมรัฐบาลอื่น ฝ่ายวิจัยประเมินระดับ Election Rally ที่ 8%-10% จากระดับปัจจุบัน โดยลุ้นกรอบดัชนี1,748-1,780 จุด
• กรณีแย่ (Worst) คือ แกนนำพรรคตั้งรัฐบาลครองเสียงน้อยกว่า 150 เสียง และต้องตั้งรัฐบาลแบบผสม เราประเมินระดับ Election Rally ที่ 5%-8% จากระดับปัจจุบันโดยลุ้นกรอบดัชนี1,700-1,748 จุด