การสื่อสารด้วยอักษรเป็นตัวชี้วัดความเจริญของท้องที่ ถึงแม้ว่าการที่มีอักษรที่ใช้นั้น จะเป็นการที่ถูกถ่ายทอดมาจากแหล่งอื่น แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นในการจดบันทึกเพื่อที่จะบอกเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนและมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น และแสดงถึงความเจริญในท้องที่นั้น ๆ การเริ่มต้นของการมีอักษรใช้ในเเผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะในเขตประเทศไทยของเราเริ่มขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 อาณาจักรทวารวดี ด้วยเหตุที่ว่าทางภูมิภาคของเรานั้นได้มีการติดต่อกับทางอาณาจักรตอนใต้ของอินเดีย ในสมัยราชวงศ์ปัลลวะ การเชื่อมต่อกับโลกภายนอกในสมัยโบราณโดยหลักแล้วจะเป็นเรื่องของการค้าขาย เพราะต่างคนต่างมีความต้องการในสิ่งที่ภูมิภาคของตนไม่มี แต่สิ่งหนึ่งที่นอกเหนือจากสินค้าที่เข้ามาขายในท้องถิ่นคือ อักษรและสัญลักษณ์ต่างๆ โดยเฉพาะตัวอักษรนั้นจัดได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์เลยทีเดียว การเข้ามาของอักษรอินเดียใต้ทำให้เกิดการถ่ายทอดภูมิปัญญาจากอนุทวีปเข้าสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ และเปลี่ยนจากยุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นสมัยประวัติศาสตร์ ตลอดจนได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาต่าง ๆ จากที่ที่มีอารยธรรมสูงกว่า ทำให้ภูมิภาคสุวรรณภูมิแถบลุ่มภาคกลางมีความเจริญรุ่งเรืองมาก และสามารถนำรากฐานวัฒนธรรมของอนุทวีปที่เข้ามานี้ มาปรับเปลี่ยนจนกลายเป็นวัฒนธรรมของตนเอง อักษรยุคแรกที่เข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมิเป็นอักษรปัลลวะ ที่มาจากอินเดียทางตอนใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 ราชวงศ์ปัลลวะเข้ามาทางเรือของพ่อค้า และนักปราชญ์ที่เดินทางมากับเรือสินค้า เมื่อเข้าฝั่งมาแล้วก็กระจายไปทั่วภูมิภาคต่าง ๆ ในดินแดนสวรรณภูมิ พร้อมกับนักปราชญ์ที่ถ่ายทอดการเขียนการอ่านรวมทั้งภาษา เมื่อผู้คนในภูมิภาคมีความรู้ มีความเชี่ยวชาญในการอ่านเขียนอักขระ และภาษาแล้ว ก็ถ่ายทอดเรื่องราวของตนเองหรือสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นตัวอักษร แล้วสลักลงบนแผ่นหินหรือเขียนในใบลาน และสิ่งเหล่านี้ได้ตกทอดมาสู่ยุคสมัยปัจจุบัน จารึกบอกอะไรเราได้บ้าง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจถึงกระบวนการทางประวัติศาสตร์ในด้านเอกสารก่อน ซึ่งเอกสารทางประวัติศาสตร์จะแบ่งออกได้เป็นสองชนิด คือ เอกสารชั้นต้นเป็นเอกสารที่บอกเรื่องราวต่าง ๆ ในยุคสมัยที่เกิดเหตุการนั้น ๆ และถูกจดบันทึกในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ เอกสารชั้นรองเป็น เอกสารทางวิชาการจากผู้มีความรู้และมีความเชื่อถือได้ แต่เอกสารโบราณบางอย่างที่เขียนถึงยุคก่อนหน้าอาจหลาย ๆ ปีก็ถูกจัดเป็นเอกสารชั้นรอง เอกสารจารึกจัดอยู่ในประเภทเอกสารชั้นต้น และเป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด ในจารึกจะบอกเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับสมัยที่เกิดเรื่องราวในเหตุการนั้น ๆ เช่น ปีที่สร้าง ใครเป็นผู้สร้าง สร้างเพื่อวัตถุประสงค์ใด มีเหตุการอะไรที่เกิดขึ้น การถวายของ ตลอดจนความเชื่อและการสาปแช่งเป็นต้น ภาพที่ 1 จารึกหินทรายอักษรบัลลวะ พุทธศตวรรษ์ที่ 13 พบที่บ้านพันดุง อำเภอขามทะเลสอ จังหวัดนครราชสีมา ภาพที่ 2 คำแปลจารึกอักษรปัลลวะ จะแบ่งออกเป็นบรรทัดตามเนื้อความตัวอักษรที่ติดกัน ตัวอย่างในภาพที่ 1 และ 2 (คำแปล) จารึกอักษรปัลลวะ พุทธศตวรรษที่ 13 พบที่ บ้านพันดุง อำเภอขามทะเลสอ จังหวัดนครราชสีมา เริ่มต้นด้วยการบูชาพระศิวะ ต่อมากล่าวถึงการสร้างเทวรูปในศาสนาพราหมณ์ การถวายของ ผู้คน และนักบวช ที่จะมาดูแลศาสนสถานและรูปเคารพแห่งนี้ บอกถึงการปฏิบัติตนของพราหมณ์ และบอกปีที่สร้าง ภาพที่ 3 จารึกอักษรเขมรโบราณ ปราสาทพนมวัน ตรงกรอบประตูด้านซ้ายของปราสาทประธาน พุทธศตวรรษที่ 16 ตัวอย่างในภาพที่ 3 จารึกปราสาทพนมวัน ตรงส่วนกรอบประตูด้านซ้ายของปราสาทประธาน เป็นจารึกอักษรเขมรโบราณพุทธศตวรรษที่ 16 สมัยบาปวน อัษรเขมรโบราณ เป็นอักษรที่พัฒนามาจากอักษรหลังปัลลวะ คือหลังพุทธศตวรรษที่ 13 อักษรปัลลวะจะถูกตัดหางที่ยาวออก ต่อมาเป็นอักษรมอญโบราณและเขมรรับมาอีกที ข้อมูลการแปลจารึกของศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธรได้ให้ข้อมูลไว้ดังนี้ "การบูชาพระศิวะ พระวิษณุ (พระนาราย์) และการสรรเสริญ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 การแต่งตั้งนายทหารที่ชื่อ วีระวรมัน เป็น กฤตัชญวัลลภ การถวายทาสและสิ่งของแก่เทวรูป" จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า สิ่งที่จารึกบอกกับเรานั้นคือเหตุการณ์ต่าง ๆ ใน ช่วงเวลานั้น โดยเฉพาะคติความเชื่อทางศาสนา เน้นไปในทางศาสนาสพราหมณ์ฮินดู ซึ่งผู้คนในสมัยโบราณนั้นศรัทธาเป็นอย่างมากถึงขั้นถวายของสักการะ และถวายทาสให้เป็นผู้รับใช้เทวรูป อีกกรณีหนึ่งการมีชนชั้นการปกครอง มีการแต่งตั้งปูนบำเหน็จความชอบให้แก่ผู้รับใช้ สิ่งที่จารึกให้กับเราไว้ เป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ที่เป็นสื่อในการสืบค้นเรื่องราวในอดีต ซึ่งนักวิชาการหรือผู้ค้นคว้าจะใช้ข้อมูลจากจารึกเหล่านี้ เป็นข้อมูลเพื่อวิเคราะห์และสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อทำการค้นคว้าความเป็นมาของแผ่นดิน และศึกษารากฐานทางวัฒนธรรม