รีเซต

‘ทรีนีตี้’ ชี้หุ้นไทยมีโอกาสลงลึกแตะระดับ 1,450 จุด พร้อมคัด 13 หุ้นเด่นน่าตุน

‘ทรีนีตี้’ ชี้หุ้นไทยมีโอกาสลงลึกแตะระดับ 1,450 จุด พร้อมคัด 13 หุ้นเด่นน่าตุน
มติชน
2 มีนาคม 2564 ( 14:40 )
31
‘ทรีนีตี้’ ชี้หุ้นไทยมีโอกาสลงลึกแตะระดับ 1,450 จุด พร้อมคัด 13 หุ้นเด่นน่าตุน

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนเดือนมีนาคมนี้ มองว่าตลาดหุ้นไทยจะผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่เติบโตแล้ว อาทิ สหรัฐฯ และเอเชียเหนือ ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่มีความอ่อนไหวต่อการปรับเปลี่ยนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีล) โดยประเมินว่าดัชนีมีแนวรับที่ระดับ 1,450 – 1,480 จุด ซึ่งจะเป็นบริเวณดัชนีที่สามารถเข้าซื้อ เพื่อรองรับกับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ภายนอกได้ โดยเฉพาะประเด็นการปรับตัวสูงขึ้นของบอนด์ยีลทั่วโลก ส่วนแนวต้านสำคัญของดัชนีในเดือนนี้อยู่ที่ 1,540 จุด ซึ่งจะเป็นระดับที่ทำให้ค่าส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนหุ้นและพันธบัตรรัฐบาล (Earning yield gap) ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงสู่ระดับ -1SD สะท้อนถึงความตึงตัวในมิติมูลค่าหุ้น (แวลูเอชั่น) ซึ่งหากเห็นระดับดังกล่าว แนะนำให้เน้นขายทำกำไรออกมาก่อน

 

นายณัฐชาต กล่าวว่า สำหรับธีมการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์บอนด์ยีลพุ่งแรง และคาดการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นนั้น แนะนำลงทุนใน ธีม Reflation / Recovery / Reopening โดยจะต้องเป็นหุ้นที่ยังคงซื้อขายด้วย Valuation (PE) ในระดับต่ำ เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มีค่า Earning yield gap ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย จึงสามารถทนทานต่อความเสี่ยงที่ บอนด์ยีลอาจปรับสูงขึ้นอีก โดยแนะนำ 7 กลุ่ม 13 ตัวหุ้น ได้แก่ 1.กลุ่ม สินค้าโภคภัณฑ์ประเภทวัตถุดิบต่างๆที่สกัดมาจากเหมืองแร่ อาทิ PTTGC, TOP, SPRC, ESSO 2.กลุ่มสินค้าทางการเกษตร อาทิ STA  3.กลุ่มธนาคาร อาทิKBANK, BBL 4.กลุ่มอาหาร อาทิ CPF, TU 5.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อาทิ AP, ORI 6.กลุ่มเดินเรือ อาทิ RCL และ7.กลุ่มสินค้าผู้บริโภค อาทิ STGT

 

“บอนด์ยีลที่ปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ยังคงมุมมองเป็นกลางและไม่ได้เป็นกังวลมากนัก เนื่องจากความผันผวนที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เมื่อเทียบหลายช่วงในอดีต ส่วนคาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังไม่ได้อยู่ในระดับที่น่ากังวลต่อการเข้มงวดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จึงมองเหตุการณ์ปัจจุบันยังคงห่างไกลกับสภาวะ Bond shock ในอดีต ที่มักมาพร้อมกับการปรับฐานของตลาดหุ้นครั้งใหญ่ ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนในหุ้นยังคงเป็นสิ่งที่ดำเนินต่อไปได้ ตราบใดที่บอนด์ยัลสหรัฐฯ รุ่น 10 ปียังปรับขึ้นไม่ถึงระดับ 2.0% และคาดการณ์เงินเฟ้อ10 ปี ของสหรัฐฯ ยังไม่แตะระดับ 2.5%” นายณัฐชาต กล่าว

 

นายณัฐชาต กล่าวว่า สำหรับในช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคมนี้ น่าจะเริ่มเป็นช่วงเวลาที่ดีของหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้นหลังจากปรับตัวขึ้นมาน้อยกว่าตลาดรวม (Underperform) หุ้นขนาดกลางเล็ก มาตลอดนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเนื่องจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติน่าจะเริ่มหมดลง หลังผ่านพ้นการปรับตะกร้าของดัชนี FTSE ที่มีการลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ ประกอบกับในแง่ของปัจจัยพื้นฐานเริ่มเห็นประมาณการกำไรของหุ้นใหญ่ทรงตัวได้แล้ว การลงทุนจึงเอียงไปทางหุ้นขนาดใหญ่มากกว่า

ข่าวที่เกี่ยวข้อง