ป.ป.ช.ฟันอาญา-วินัยร้ายแรง ‘วงศ์ศักดิ์ สวัสดิพาณิชย์’ สมัยนั่งผู้ว่าฯราชบุรี กับพวก ทุจริตบรรจุพนักงาน อบต.
ป.ป.ช. ชี้มูลฯ ‘วงศ์ศักดิ์ สวัสดิพาณิชย์’ สมัยนั่ง ผวจ.ราชบุรี กับพวก ทุจริตบรรจุพนักงาน อบต. พร้อม ฟันอาญา-วินัยร้ายแรง ผู้บริหารท้องถิ่น 29 จังหวัด มีเอี่ยว
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยผลการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถึงเรื่องกล่าวหานายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี กับพวก ส่งตัวผู้สอบแข่งขันได้ในบัญชีพนักงานส่วนตำบลจังหวัดราชบุรี ตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับ 3 ไปบรรจุและแต่งตั้งเป็นพนักงานส่วนตำบลในเขตจังหวัดราชบุรี และอนุมัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนอกเขตจังหวัดราชบุรีขอใช้บัญชีพนักงานส่วนตำบลจังหวัดราชบุรี โดยมิชอบ ว่า เรื่องนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2548 คณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดราชบุรี ได้ประกาศรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการและแต่งตั้งเป็นพนักงานส่วนตำบล ประจำปี 2548 ต่อมาในวันที่ 28 ธันวาคม 2548 นายวงศ์ศักดิ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี ในฐานะประธานคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดราชบุรี ได้ลงนามในประกาศขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับ 3 โดยเรียงลำดับจากผู้สอบได้คะแนนรวมสูงสุดตามลำดับที่ เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นพนักงานส่วนตำบลภายในจังหวัดราชบุรีมีผู้สอบแข่งขันได้และขึ้นบัญชีไว้จำนวน 386 คน และมีอัตราว่างตามที่องค์การบริหารส่วนตำบลในเขตจังหวัดราชบุรีร้องขอให้เปิดสอบแทน ในตำแหน่งดังกล่าว จำนวน 40 แห่ง
นายนิวัติไชยกล่าวว่า ปรากฏข้อเท็จจริงต่อมาว่า ในการเรียกบรรจุแต่งตั้งครั้งแรกนั้น คณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดราชบุรีไม่ได้นำอัตราว่างตามที่ได้มีการสำรวจไว้แล้วเพื่อเปิดสอบบรรจุแต่งตั้งมาให้ผู้ที่ขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขัน ได้แจ้งความประสงค์เลือกที่จะบรรจุแต่งตั้งตามลำดับในอัตราว่างดังกล่าว แต่กลับนำหนังสือขอใช้บัญชีจากหน่วยงานทั้งที่อยู่ในเขตจังหวัดราชบุรีและนอกเขตจังหวัดราชบุรีที่มีพฤติการณ์ว่าต้องการบรรจุแต่งตั้งผู้สอบแข่งขันรายใดเป็นการเฉพาะเจาะจง เช่น การระบุชื่อหรือลำดับที่ เป็นต้น มาใช้ในการพิจารณาส่งตัวผู้สอบแข่งขันได้ ต่อมา จังหวัดราชบุรีได้แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศว่าหากประสงค์จะขอใช้บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับ 3 ซึ่งเป็นบัญชีของคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดราชบุรี ก็ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นๆ ทำหนังสือขอใช้บัญชีส่งมายังคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดราชบุรี และได้มีการประสานกับผู้สอบแข่งขันได้ โดยให้ผู้สอบแข่งขันได้ที่ขึ้นบัญชีไว้ไปติดต่อกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ต้องการบรรจุแต่งตั้ง เป็นเหตุให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำหนังสือขอใช้บัญชีที่มีการระบุชื่อหรือลำดับที่ หรือไม่ได้ระบุชื่อหรือลำดับที่แต่มีพฤติการณ์ว่าต้องการบรรจุแต่งตั้งผู้สอบแข่งขันได้รายใดเป็นการเฉพาะเจาะจง
นายนิวัติไชยกล่าวว่า ซึ่งคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดราชบุรีได้นำหนังสือขอใช้บัญชีที่มีพฤติการณ์ขอบรรจุแต่งตั้งบุคคลที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้มาประกอบการพิจารณาส่งตัวผู้สอบแข่งขันได้ หลังจากนั้นจังหวัดราชบุรีได้แจ้งให้ผู้สอบแข่งขันได้มารายงานตัวเพื่อรอรับการบรรจุแต่งตั้งในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 โดยระบุว่า หากผู้สอบแข่งขันได้รายใดต้องการบรรจุแต่งตั้งนอกเขตจังหวัดราชบุรีให้นำหนังสือขอใช้บัญชีมาแสดงด้วย และหากไม่มารายงานตัวถือว่าสละสิทธิการบรรจุแต่งตั้ง ทำให้ผู้สอบแข่งขันได้ไปติดต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้จัดทำหนังสือขอใช้บัญชีที่มีการระบุชื่อหรือลำดับที่ หรือไม่ได้ระบุชื่อหรือลำดับที่แต่มีพฤติการณ์ว่าต้องการบรรจุแต่งตั้งผู้สอบแข่งขันได้รายใดเป็นการเฉพาะเจาะจง และคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดราชบุรีได้นำข้อมูลการมารายงานตัวของผู้สอบแข่งขันได้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 มาประกอบการพิจารณาส่งตัวผู้สอบแข่งขันได้ไปบรรจุแต่งตั้งโดยมิชอบ ซึ่งการพิจารณาส่งตัวผู้สอบแข่งขันได้ในบัญชีพนักงานส่วนตำบลจังหวัดราชบุรี ตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับ 3 ไปบรรจุและแต่งตั้งเป็นพนักงานส่วนตำบลในเขตจังหวัดราชบุรี และการอนุมัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนอกเขตจังหวัดราชบุรีขอใช้บัญชีพนักงานส่วนตำบลจังหวัดราชบุรีดังกล่าวไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีปฏิบัติ และระเบียบกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดราชบุรี และระบบการบริหารงานบุคคลอย่างร้ายแรง โดยการบรรจุแต่งตั้งพนักงานส่วนท้องถิ่น จะต้องพิจารณาจากแผนอัตรากำลัง 3 ปี ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ ว่ามีอัตราว่างตำแหน่งที่จะบรรจุแต่งตั้งหรือไม่
นายนิวัติไชยกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาถึงภารกิจงาน ประกอบกับงบประมาณของหน่วยงานอีกด้วย และต้องเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนท้องถิ่นของแต่ละจังหวัดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเป็นพนักงานส่วนท้องถิ่น หากหน่วยงานอื่นขอใช้บัญชีเพื่อบรรจุและแต่งตั้ง ก็ต้องปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง เช่น การขอใช้บัญชีห้ามมิให้ระบุชื่อหรือลำดับที่ของผู้สอบแข่งขันได้ เป็นต้น ตลอดจนพฤติการณ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จัดทำหนังสือขอใช้บัญชียังมีพฤติการณ์ว่าต้องการบรรจุแต่งตั้งผู้สอบแข่งขันได้รายใดรายหนึ่งเป็นการเฉพาะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ มีเจตนาที่จะช่วยเหลือให้ผู้สอบแข่งขันได้เป็นการเฉพาะเจาะจง ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้สอบแข่งขันได้รายอื่น
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วมีมติว่า การกระทำของนายวงศ์ศักดิ์, นายพิสิษฐ บุญช่วง รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี, นายนเรศ วงศาโรจน์ ท้องถิ่นจังหวัดราชบุรี และนายเจริญชัย นพชาติสถิต ท้องถิ่นจังหวัดราชบุรี มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
โฆษกสำนักงาน ป.ป.ช.กล่าวว่า ในส่วนของผู้บริหารองค์กรปกครองท้องถิ่นที่มีการขอใช้บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ และเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่ามีมูลความผิดทางอาญาและวินัยอย่างร้ายแรง รวมทั้งมีเหตุให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง ในท้องที่ 29 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี, นครปฐม, ประจวบคีรีขันธ์, เพชรบุรี, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, สุพรรณบุรี, นครราชสีมา, กาฬสินธุ์, ร้อยเอ็ด, อุบลราชธานี, ขอนแก่น, มหาสารคาม, บุรีรัมย์, ชัยภูมิ, จันทบุรี, ชลบุรี, นครนายก, ลำปาง, เชียงราย, พิษณุโลก, นครสวรรค์, ชัยนาท, สิงห์บุรี, พระนครศรีอยุธยา, ปทุมธานี, กระบี่, ตรัง และสงขลา ทั้งนี้ ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนพิจารณาดำเนินการต่อไป