ค้าภายในถก 3 สมาคมปุ๋ย รับปากเพียงพอ เพาะปลูกใหม่ พ.ค.ของไม่ขาดแคลนแน่

ข่าววันนี้ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับ 3 สมาคมผู้ผลิต ผู้จำหน่ายและนำเข้าปุ๋ยเคมี ประกอบด้วยสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย สมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย และสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร เพื่อหารือสถานการณ์ปุ๋ยเคมี ว่า ทุกสมาคมได้ยืนยันว่าปุ๋ยมีเพียงพอสำหรับฤดูกาลเพาะปลูก ที่จะเริ่มเดือนพฤษภาคมนี้ โดยได้มีการเตรียมการนำเข้ามาเป็นระยะๆ พร้อมกับสั่งซื้อล่วงหน้าไว้แล้ว ทั้งปุ๋ยยูเรีย โพแทสเซียม และฟอสเฟต ทำให้มั่นใจว่าช่วงครึ่งแรกปีนี้ จะไม่มีปัญหาปุ๋ยขาดแคลน จากนั้นสถานการณ์ต่างๆน่าจะคลี่คลายในช่วงไตรมาส 3- 4 ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว เพราะผู้ประกอบการได้เตรียมพร้อมนำเข้าและหาแหล่งนำเข้าไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ผู้ประกอบการได้ยืนยันจะเร่งนำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยสั่งซื้อไว้ล่วงหน้าแล้วบางส่วน และขณะนี้มีการวางแผนสั่งซื้อต่อเนื่อง แต่อาจจะสะดุดบ้าง เพราะแหล่งนำเข้าสำคัญหลายแห่ง มีปัญหาจากผลกระทบของสงคราม และบางประเทศได้สำรองไว้ใช้ในประเทศ ทำให้ปริมาณในตลาดลดลง ซึ่งผู้ประกอบการได้แก้ปัญหาด้วยการมองหาแหล่งนำเข้าอื่น ๆ ทดแทน เช่น ซาอุดิอาระเบีย ที่เป็นแหล่งผลิตสำคัญอีกแหล่งหนึ่งของโลก” นายวัฒนศักย์ กล่าว
นายวัฒนศักย์ กล่าวว่า สำหรับการปรับขึ้นราคาปุ๋ยเคมีตามต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น กรมขอให้ผู้ประกอบการส่งต้นทุนมาให้กรมแล้ว โดยจะพิจารณาตามต้นทุนที่แท้จริง มีหลักเกณฑ์ให้ปรับขึ้นราคาตามต้นทุน ไม่ใช่ให้ปรับขึ้นเท่ากันหมด เพราะผู้ประกอบการแต่ละราย ปุ๋ยแต่ละชนิด มีต้นทุนไม่เท่ากัน ที่สำคัญการปรับขึ้นราคา ต้องไม่เป็นภาระกับเกษตรกรมากจนเกินไป ขณะที่ผู้ประกอบการต้องอยู่ได้ และประกอบธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งทุกอย่างต้องสมเหตุสมผล เพราะหากไม่ให้ปรับขึ้นราคา จะมีปัญหาสินค้าขาดแคลน จะเป็นปัญหาใหญ่ตามมาได้
นายวัฒนศักย์ กล่าวว่า ส่วนต้นทุนปุ๋ยในปัจจุบัน ผู้ประกอบการแจ้งว่า ปุ๋ยสูตรหลัก ๆ มีการปรับสูงขึ้น เช่น ปุ๋ยยูเรีย ราคา FOB อยู่ที่ 960-1,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน ฟอสเฟต อยู่ที่ 1,100-1,200 เหรียญสหรัฐต่อตัน และโพแทสเซียม อยู่ที่ 950-1,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งราคาสูงขึ้นจากเดิม 100-200% แต่ในการอนุญาตให้ปรับขึ้นราคา จะให้ขึ้นตามต้นทุนเลย เป็นไปไม่ได้ เพราะยังมีสต๊อกเก่าอยู่ แต่จะพิจารณาให้ตามเหมาะสม และตามต้นทุนที่แท้จริง โจทย์ตอนนี้ ต้องดูแลปริมาณให้เพียงพอกับความต้องการใช้ เพราะแต่ละปีมีความต้องการใช้ปุ๋ยในประเทศประมาณ 5 ล้านตัน เป็นปุ๋ยยูเรียเป็นส่วนใหญ่ ที่เหลือเป็นปุ๋ยชนิดอื่น ๆ โดยเรื่องปริมาณเบาใจได้แล้ว เพราะได้รับการยืนยันจากผู้ประกอบการว่าจะเร่งนำเข้า และหาแหล่งนำเข้าอื่น ๆ ทดแทน แต่เรื่องราคา เป็นเรื่องที่กรมฯ ต้องดูแล ที่จะต้องสมเหตุ สมผล เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ
“นอกจากนี้ กรมได้ขอความร่วมมือให้สมาคม ช่วยดูแลสมาชิก หากพบว่าผู้ประกอบการรายใดมีการกักตุน ฉวยโอกาสปรับขึ้นราคา ขอให้ตัดสิทธิ์ไม่ให้เป็นผู้จัดจำหน่ายอีก และในส่วนของกรมฯ จะดำเนินคดีตามกฎหมายถึงที่สุดทุกราย และยังได้ขอความร่วมมือให้พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ทำการติดตาม ตรวจสอบปริมาณและการจำหน่ายปุ๋ยอย่างใกล้ชิดด้วย” นายวัฒนศักย์ กล่าว