เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,515-1,535 จุด กลุ่มน้ำมันต้น-กลางน้ำคาดกลับมาหนุนตลาดได้ระยะสั้นจากราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นเก็งผลการประชุม OPEC+ สุดสัปดาห์นี้ ส่วนการลงมติขยายเพดานหนี้สหรัฐฯอยู่ในชั้นสว. หากผ่านจะส่งให้ไบเดนลงนาม ตลาดมองว่าน่าจะสำเร็จและทันเส้นตาย 5 มิ.ย. ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น Bond Yield และ Dollar Index อ่อนตัวลง ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามคืนนี้ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาตเกษตรสหรัฐฯเดือน พ.ค. ซึ่งจะมีผลต่อตลาดในการประเมิน FED ว่าจะคงหรือขึ้นดอกเบี้ยต่อในการประชุมเดือน มิ.ย.
ขณะที่ปัจจัยในประเทศ โฟกัสยังคงอยู่ที่พัฒนาการการจัดตั้งรัฐบาลและนโยบายในระยะถัดไป ทำให้หุ้นที่มีความเสี่ยงถูกกระทบจากนโยบายรัฐบาลใหม่จะยังถูกกดดันและปรับขึ้นได้จำกัด เรามองระยะสั้น Upside ของสินทรัพย์เสี่ยงยังไม่กว้างจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลก 2H23 ที่มีแนวโน้มชะลอชัดขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยจะยังอยู่ในระดับสูงกว่าระดับปกติ ทำให้ภาคการส่งออกคาดว่ายังไม่สดใส เราจึงยังคงเน้นลงทุนในกลุ่ม Domestic มากกว่า Global Play โดยเลือกหุ้นที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลใหม่จำกัด
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกและเสี่ยงกระทบจากนโยบายรัฐบาลใหม่จำกัด//ทยอยสะสมหุ้นเพิ่มที่ฐาน 1,500+- จุด
หุ้นเด่นเดือน มิ.ย. : BDMS, CPN, MAKRO, MINT, ORI
หุ้นเด่นวันนี้ : TOA
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 40 บาท
• คาดกำไร 2Q23 ชะลอ q-q ตามปัจจัยฤดูกาลที่มีวันหยุดจำนวนมากและเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน แต่คาดยังโตแกร่ง y-y โดยเฉพาะจาก Demand กลุ่ม repaint ในไทย ยอดขายต่างประเทศหลักๆจากเวียดนามคาดเห็นการทยอยฟื้น q-q หลังจาก 1Q23 มีปัญหาภาคอสังหาฯ ส่วนด้าน Margin ใน 2Q23 คาดปรับตัวดีขึ้นจากสัดส่วนการใช้ TiO2 จากจีนที่สูงขึ้นเป็น 35% จาก 1Q23 ที่ 20%
• ประเด็นการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำคาดกระทบไม่มาก ยังคงประมาณการกำไรปี 2023 ที่ 2.2 พันลบ. +33% y-y และมี Upside จาก Margin ที่อาจทำได้ดีกว่าคาด
• แนวรับ 32-31.50//30 บาท แนวต้าน 34//36 บาท
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวลดลง ความกังวลเพดานหนี้ผ่อนคลายลง ไทยไร้ปัจจัยช่วยหนุน การขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ รู้ผลเช้านี้ ตลาดจะข้ามผ่านไปสนใจเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed แทน ซึ่งจะรบกวนตลาดเป็นระยะๆ
ค่าเงิน Dollar (Dollar Index $103.5 จุด) และ Bond Yield ของสหรัฐฯ ที่ลดลง (10 ปี อยู่ที่ 3.6%) เป็นสัญญาณว่านักลงทุนในตลาดสหรัฐฯ ดูจะผ่อนคลายความกังวลต่อตลาดลง
เศรษฐกิจจีน ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูและต้องระวัง ตัวเลขที่สะท้อนเศรษฐกิจออกมาชะลอตัว ซึ่งจะมีผลต่อไทย และหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง อย่างกลุ่มโลจิสติกส์ เดินเรือ หรือหุ้นที่เป็น supply chain ให้กับภาคอุตสาหกรรมของจีน แต่กลุ่มท่องเที่ยว จะได้รับผลกระทบน้อย
ราคาน้ำมันอ่อนไหวตามทิศทางเศรษฐกิจ รอดูการประชุม OPEC+ ในช่วงวันหยุดนี้(4) หากมีการปรับลดกำลังการผลิต จะดีต่อหุ้นกลุ่มน้ำมัน (PTTEP)
ตลาดหุ้นไทยไม่มีตัวช่วยหนุนตลาด การเมืองไทยยังเป็นสูญญากาศ และนักลงทุนต่างชาติยังเทขายหุ้นไทยต่อ วานนี้(1) Net Sell 3.8 พันล้านบาท
ตัวเลขเศรฐกิจวันนี้ คือ ตัวเลข non-farm payroll ของสหรัฐฯ (Bloomberg Survey +195k)
Strategy
• นักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะชะลอการลงทุนก่อนเข้าวันหยุดยาว ตลาดเองก็ไม่ได้มีปัจจัยบวกที่จะทำให้ต้องซื้อหุ้นด้วย จึงยังแนะนำให้เลือกขายทำกำไรหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก และสลับไปเล่นในหุ้นที่มีข่าวบวกสนับสนุนหรือราคาลงมาลึกมาก ตัวอื่นๆ
• พอร์ตหุ้นวันนี้ เรานำหุ้น BANPU, CHG, HANA ออก และคงหุ้นเดิมทั้งหมดไว้ พอร์ตหุ้นประกอบไปด้วย TKN*(15%), TTB(10%), JMT(15%)
Strategy Stock Pick
TTB: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 1.72 บาท) “ลุ้น NIM ขยับขึ้นต่อรับดอกเบี้ยขาขึ้น, Outlook ปี 2023 สวย”
•คาด NIM จะปรับตัวขึ้นต่อรับกับการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (BBL นำไปก่อน ส่วน ธ. ที่เหลือทยอยตามมา) ไตรมาส 3 รับประโยชน์เต็มไตรมาส
•แนวโน้มกำไรในช่วงที่เหลือของปี TTB มีโอกาสเติบโต QoQคุณภาพสินเชื่อของ TTB ดี NPL ต่ำ (1Q23 ลดลงมาที่ 2.69% เทียบกับ 4Q22 ที่ 2.73%) การตั้งสำรองในช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสลดลงหนุนกำไร
•DAOL ประเมินกำไรสุทธิปี 2023E-2024E ที่ 1.59 หมื่น ลบ. และ 1.72 หมื่น ลบ. +12%YoY และ +8%YoY ตามลำดับ
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด วางกรอบแนวรับดัชนี SET ที่ 1,510 – 1,515 แนวต้าน 1,530 คาดดัชนีทรงตัวรอประเมินตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ และประชุมพรรคร่วม 6 มิ.ย. แนะนำทยอยซื้อกลุ่มธนาคาร BBL,SCB,KTB,TTB / กลุ่มอุปโภค SNNP,ICHI/ นิคมฯ AMATA,WHA/ ท่องเที่ยวAAV,BA,ERW,SHR จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 เดือน 10.37 ล.คน
BA* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 16.90 บาท) ธุรกิจสายการบินใน 2Q66 มีแนวโน้มอ่อนลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล โดยในช่วงเดือน เม.ย. มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 2.18 ล้านคน และจะเริ่มชะลอในเดือน พ.ค.-มิ.ย.ที่ปกติเป็น Low Season อย่างไรก็ตามคาดรายได้จะยังจะดีขึ้นมากเทียบปีก่อน (YoY) หนุนจากจำนวนผู้โดยสารที่ฟื้นตัวและค่าโดยสารเฉลี่ยที่อยู่ในระดับสูง ส่วนฤดูกาลปกติของ BA ช่วง 3Q66-4Q66 จะค่อยๆ ดีขึ้น QoQ ตามลำดับเพราะเข้าฤดูฤดูร้อยชองยุโรปและเข้าช่วงเทศกาลปีใหม่ นอกจากนี้ใน 2H66 ยังคาดหวังการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางเข้ามามากขึ้น โดย BA มีการเปิดเส้นทางบินตรงจากสมุย-จีน 3 เส้นทาง โดยแผนบริหารฝูงบินสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 24-28 ลำ คาดการณ์ผู้โดยสาร 4.4 ล้านคน
SFLEX* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 4.85 บาท) กำไรสุทธิงวด 1Q66 อยู่ที่ 41 ลบ. (+205%YoY, +22% QoQ ) มีแรงหนุนจากมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้นทั้งจากการบริหารต้นทุนวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพและราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลง สำหรับการดำเนินงานช่วงถัดไป คาดว่าจะยังได้ประโยชน์จากการเน้นสินค้ามาร์จิ้นสูงโดยเฉพาะสินค้าทางการแพทย์ ด้านผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตแบบOrganic Growth มาอยู่ที่ 1.8-1.85 พันลบ. นอกจากนี้ SFLEX* ยังจะมีปัจจัยบวกจากการเข้าลงทุนใน SPV (ธุรกิจการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ประเภทกระดาษในเวียดนาม) ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรสุทธิปี66 และ ปี67 SFLEX*ที่ 158 ลบ.(+187%YoY) และ 189 ลบ.(+20%YoY)