เมื่อพูดถึงขนมหวานของไทยก็ต้องนึกถึง " งา " เมล็ดเล็กจิ๋วที่โรยยุบยิบอยู่บนหน้าขนม เพิ่มความหอมมันน่าทานขึ้นอีกเท่าตัว งาที่คุ้นเคยเห็นกันบ่อยๆ เลยก็มี งาขาว และ งาดำ แต่จะว่าไปแล้ว งา ก็ไม่ได้พบเจอได้แต่ในอาหารหรือขนมหวานของคนไทยเราเท่านั้นนะ เมนูสลัด ขนมหรืออาหารบางชนิดแบบฝรั่งก็มีการโรยงาเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นตัวผู้เขียนเองก็ยังไม่รู้เลยว่าวัฒนธรรมการทานงา เริ่มต้นกันมาจากไหน? แล้วประโยชน์ของงามีอะไรบ้าง? งั้นขอเชิญชวนทุกคนมาเก็บข้อมูลไปพร้อมกันนี้เลย งา ในฝั่งของชาวจีนเขามีสุภาษิตเปรียบงาเป็นดั่งหยกเลยเชียว นั่นก็แสดงว่างานี้มีคุณค่ามากมายจริงๆ พวกเขากล่าวกันว่า งาเป็นดั่งยาอายุวัฒนะ ซึ่งนอกจากจะใช้เป็นอาหารแล้วพวกเขายังนำมาทำแท่งหมึกจีนได้อีกด้วย ส่วนฝั่งชาวอินเดียก็ยกให้งาเป็นตัวยาบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ว่ากันว่า งาเป็นพืชพื้นเมืองของชาวเอเชีย หรือตะวันออกของแอฟริกา คนโบราณนำงามาประกอบอาหารกันนานกว่า 5,000 ปีมาแล้ว ปัจจุบันเราจะพบงาได้ในพื้นที่เขตร้อน หรือเขตที่มีอากาศอบอุ่น นอกเหนือจากอาหาร ขนมหวานและเบเกอรี่ต่างๆ ที่มีงาประกอบอยู่ด้วยแล้ว ประโยชน์ของงายังสามารถทำได้มากกว่านั้นอีก เช่น การนำมาทำน้ำมันงาเพื่อใช้ปรุงอาหารให้รสชาติดียิ่งขึ้น นอกจากกลิ่นหอมแล้วงายังมีกรดไขมันดี กรดอะมิโนเมธิโอนีน และสารเซซามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งตับอีกด้วย ดังนั้นแล้วงาถือเป็นวัตถุดิบชั้นดี อัดแน่นไปด้วยประโยชน์อันมากมาย ช่วยบำรุงร่างกายได้หัวจรดเท้า ทำให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า คนที่ชอบทานอาหารเพื่อสุขภาพจึงมักนำงามาเติมลงไปในมื้ออาหารเพื่อเพิ่มโปรตีนให้มื้ออาหารนั้นครบถ้วนยิ่งขึ้น แล้วเมื่อทานเป็นประจำก็จะช่วยให้ผิวพรรณของเราชุ่มชื้นผุดผ่องไปด้วย แบบนี้ก็เรียกได้ว่าคุณประโยชน์ของงานั้นมีแบบครบเครื่องเรื่องผู้หญิงเลยล่ะ สำหรับชาวภาคเหนือ จะมีงาอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่รู้จักคุ้นเคยกันดีสำหรับคนเมือง งาชนิดนี้มีชื่อว่า " งาขี้ม้อน " นั่นเอง ที่เรียกแบบนี้ก็เพราะว่า ลักษณะของเมล็ดงามีความคล้ายคลึงกับมูลของตัวหม่อน ส่วนสีของงาชนิดนี้คือสีน้ำตาล เมนูงาขี้ม้อนที่ขึ้นชื่อของชาวเหนือก็คือ ข้าวหนุกงา โดยนำงานี้ไปคั่วแล้วนำไปตำรวมกับข้าวเหนียวที่นึ่งสุกใหม่ๆ ปรุงรสด้วยเกลืออีกนิด ตัดรสเค็มๆ มันๆ คลุกเคล้ากลิ่นหอมของงา ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูที่อร่อยแบบเรียบง่ายแต่ได้ประโยชน์อีกมากมาย แล้วจะสามารถพบงาชนิดนี้ได้ที่ไหนบ้าง? งาขี้ม้อนนี้พบได้มากบนดอยและจะพบได้ในช่วงที่เข้าหน้าหนาว มีงานวิจัยว่างาชนิดนี้มีทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ แคลเซียม วิตามินบี-อี สารเซซามอลที่ช่วยป้องกันมะเร็ง และช่วยทำให้อ่อนเยาว์ได้ด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีโอเมก้า 3 และ 6 ที่ชะลอความเสื่อมต่างๆ ของร่างกาย ลดริ้วรอย ลดการอักเสบและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยให้ห่างไกลจากริ้วรอยแห่งวัย อันเป็นปัญหาใหญ่กวนใจสาวๆ ได้ดีเลยทีเดียวขอบคุณภาพปกบทความจาก Pexels และรูปภาพประกอบบทความจาก Pixabay / Pixabay / Pexels / Pixabay