ขอบคุณภาพหนังสือจาก ร้านซีเอ็ดบุ๊คหนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 10 บท เรื่องราวของหนังสือจะเน้นไปที่การกล่าวถึงเงามืดภายในตัวเรา ซึ่งในแต่ละบทจะมีแบบฝึกหัดให้เราได้ลองค้นเข้าไปในตัวเอง เพื่อหาเงามืดนั้น และทำการโอบรับและยอมรับเงามืดที่เราพยายามปฏิเสธมาตลอดเข้ามาในตัวเรา ให้มันหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเราเพื่อให้เราเกิดความให้อภัย รับของขวัญ และปล่อยวาง... หนังสือเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นโดย เด็บบี้ ฟอร์ด ซึ่งเธอเป็นนักเขียน ผู้ช่วยโค้ช และอาจารย์ มีวัตถุประสงค์ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาก็เพื่อช่วยผู้อ่านเอาชนะด้านมืด หรือเงาในจิตใจของพวกเขา โดยใช้หลักจิตวิทยาที่ทันสมัยร่วมกับการปฏิบัติทางจิตวิญญาณผสมผสานเข้าด้วยกันถ้าเราใส่หัวโขนคุณธรรมมากไปจนมองเห็นแต่ด้านชั่วร้ายของคนอื่น เรียกอีกอย่างว่า ฉายเงาของตน (Project one's Shadow) ไปที่ผู้อื่น คาร์ล ยุง นักจิตบำบัดและจิตแพทย์ชาวสวิส กล่าวเอาไว้จากทฤษฎีของคาร์ล ยุง นำมาสู่การปฏิบัติ โดยเด็บบี้ ตั้งคำถามในหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่หน้าแรกๆ ว่า ‘เราเคยโกรธ ไม่พอใจ หงุดหงิด คนอื่น หรือไม่ชอบที่เขาเป็นแบบนั้นหรือเปล่า’ เด็บบี้อธิบายไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่าสาเหตุที่เรารู้สึกอย่างนั้น เพราะเรากำลังรู้สึกไม่ชอบเสี้ยวหนึ่งของตัวเองในตัวของเขาคนนั้น หรือ...คนคนนั้นกำลังแสดงท่าทีอันน่ารังเกียจที่ตัวคุณก็มีแต่กำลังตัวเองปกปิดเอาไว้ เพราะคุณเกลียด และไม่ชอบมัน ซึ่งตรงกับที่คาร์ล ยุงอธิบายไว้นั่นเอง..ดังนั้น หนังสือเล่มนี้จึงอธิบายถึงการเยียวยาตัวเอง การยอมรับ โอบรับตัวตนด้านมืดของตัวเอง โดยในหนังสือเธอเล่าถึงเรื่องราวของตัวเอง และผู้เข้ารับการเยียวยา ให้แบบฝึกหัดในแต่ละบท และอธิบายการทำแบบฝึกหัด รวมถึงวิธีการที่จะทำให้เราได้ค้นพบเงามืดของตัวเอง เพื่อตีความหมายของด้านมืดของเราเสียใหม่ แทนที่จะมอบแต่ความเกลียดและปกปิดมันไว้ การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณสามารถฟื้นฟูตัวเองกลับมาเป็นตัวเองที่ดีกว่าเดิมได้หลังจากอ่านจบแล้ว สิ่งที่ชอบในหนังสือเล่มนี้เลยก็คือ การชี้ให้เห็นประโยชน์ของด้านมืด ให้ความรู้สึกปลดแอกและอภัยตัวเอง มีคำคม มีประโยคสะกิดใจเรา โดยเฉพาะคำพูดที่ว่าเราต้องเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มนุษย์ที่มีทั้งดีและไม่ดี ดังนั้นอย่ากลัวที่จะเป็นตัวเอง การที่เราเป็นเราด้วยเนื้อแท้ จักรวาลจะนำพาเราไปพบกับความสุขส่วนตัวให้คะแนนเล่มนี้ 8/10 หัก 2 คะแนนเรื่องการอธิบายวกวน หรือมีนัยที่สื่อถึงจุดประสงค์เดียวซ้ำๆ หลายครั้งมากเกินไป‘ส่วนข้อคิดที่ผู้เขียนได้หลังอ่านเรื่องนี้จบเลยก็คือ การที่เราไม่ควรปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความผิดพลาด ความเจ็บปวดโดยไม่ทำอะไร แทนที่เราจะเอาแต่จมกับมันเฉยๆ ไม่สู้เราทำความรู้จักมัน โอบกอดมัน แล้วบอกตัวเองว่าอ่อนแอบ้างก็ได้ เยียวยาตัวเอง และให้เวลาตัวเองได้เจ็บปวด ขนาดแผลยังต้องการรักษา จิตใจเราเองก็ควรได้รับการรักษาเหมือนกันยกตัวอย่างประสบการณ์จริงของผู้เขียน เป็นคนที่ไม่ชอบพูด เก็บกดทุกอย่าง และทำเป็นเข้มแข็งตลอดเวลาทั้งที่จิตใจเราไม่โอเค ตอนนั้นคือแย่มากนะ มันทำให้เครียดสะสม แต่พออ่านหนังสือเล่มนี้ความคิดเปลี่ยนไปเลย คือ เออว่ะ! ทำไมเราถึงมองข้ามความเจ็บปวดตัวเอง แล้วปล่อยมันเรื้อรัง ฉุดรั้งเราไม่ไปไหนแบบนี้นะ ซึ่งหนังสือเล่มนี้เองที่ทำให้ Mindset ของเราเปลี่ยนไป เกิดการคิดใหม่ ปรับใหม่ ชีวิตดีขึ้นเยอะเลยละสุดท้ายนี้ สำหรับใครที่กำลังสับสน โมโห โกรธไปซะทุกอย่าง ไม่รู้ว่าตนกำลังเป็นอะไร หรือไม่มั่นใจในตัวเอง รวมถึงมีภาวะเศร้าซึมเพราะวิกฤตโควิด-19 อยู่ละก็ แนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วคุณจะได้มุมมองในการมองตัวเองใหม่ ส่วนการกลับมาเชื่อมั่นในตัวเอง และให้อภัยตัวเองได้อย่างเต็มเปี่ยมได้ไหมนั้น ส่วนตัวคิดว่าคุณคงต้องลองซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่าน แล้วลองทำแบบฝึกหัดตามหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเอง ไม่ลองไม่รู้จริงไหม?ภาพประกอบโดย สารพัดสาระเพ (ผู้เขียน)