ยาต้านไวรัส HIV หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Antiretroviral Drugs เป็นยาที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยมีกลไกการออกฤทธิ์เพื่อสำหรับยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส HIV เป้าหมายของการรับประทานยานั้นก็เพื่อลดจำนวนเชื้อไวรัส และเพื่อให้ร่างกายมีระดับภูมิต้านทานหรือระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เพิ่มสูงขึ้น ผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HIV เมื่อได้รับยาต้านไวรัสอย่างเหมาะสมและมีพฤติกรรมการรับประทานยาอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ ยาก็จะสามารถช่วยกดระดับเชื้อไวรัสให้ต่ำกว่าระดับที่สามารถตรวจพบได้ ก็จะทำให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเช่นคนปกติ และลดโอกาสการแพร่เชื้อผ่านช่องทางการแพร่เชื้อต่าง ๆปัจจุบัน มีการผลิตคิดค้นยาต้านไวรัส HIV ขึ้นมามากมายหลายชนิด ทั้งนี้เนื่องจากยาตัวเก่าที่เคยใช้อาจใช้ไม่ได้ผลในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส HIV ดื้อยา หรือยาอาจมีอาการข้างเคียงที่รุนแรงซึ่งอาจส่งผลต่อความร่วมมือในการใช้ยาได้ ยารุ่นใหม่ ๆ ที่ถูกคิดค้นจึงเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อไวรัสได้มากขึ้นโดยที่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงที่น้อยลง แต่ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมียาต้านไวรัส HIV มากมายหลายชนิด แต่การใช้ยาต้าน HIV นั้นก็ยังต้องเลือกใช้อย่างระมัดระวังซึ่งจาก แนวทางการตรวจรักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ประเทศไทย ปี 2560 ก็ได้แนะนำให้ผู้ติดเชื้อไวรัส HIV ทุกรายเริ่มใช้ยาต้านไวรัส 2 ชนิดจากกลุ่มยาที่แตกต่างกัน 2 กลุ่ม โดยสูตรยาที่แนะนำให้ใช้เป็นอันดับแรกก็คือยากลุ่ม NRTIs เช่น Tenofovir ร่วมกับยากลุ่ม NNRTIs เช่น Efavirenz โดยจะต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วยทั้งข้อจำกัดในการเริ่มยาของผู้ป่วย อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย หรือความเสี่ยงในการดื้อยา ซึ่งหากผู้ป่วยไม่สามารถใช้ยาหลักในกลุ่มตามที่แนวทางการรักษาระบุไว้ ก็จะต้องไปพิจารณาใช้ยาทางเลือกชนิดอื่นต่อไปและเนื่องจากยาเหล่านี้เป็นยาที่มีใช้เฉพาะในโรงพยาบาลและจะต้องให้แพทย์เป็นผู้เริ่มสั่งใช้ยาเท่านั้น ผู้ป่วยไม่สามารถไปหาซื้อยาเหล่านี้จากร้านขายยาทั่วไปมารับประทานได้ จึงทำให้บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้ออาจไม่ค่อยได้รู้จักกับรูปร่างหน้าตาและลักษณะเม็ดยาต้านไวรัส HIV เหล่านี้ ผู้เขียนจึงจะมาแนะนำให้ผู้อ่านทุกท่านได้รู้จักกับลักษณะเม็ดยาต้านไวรัส HIV ชนิดต่าง ๆ ที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมผ่านบทความนี้ให้ได้รู้จักกันค่ะ1. GPO-VIR Z 250 จีพีโอ เวียร์ แซด 250 (GPO-VIR Z 250) เป็นยาสูตรผสมที่ประกอบด้วยตัวยา 3 ตัว ลักษณะเม็ดยาจะเป็นเม็ดรี สีขาว ด้านหนึ่งจะมีรอยบากในแนวตั้ง ส่วนอีกด้านหนึ่งจะมีตัวเลข 250 ในยา 1 เม็ด จะประกอบไปด้วยตัวยา เนวิราปีน (Nevirapine) 200 มิลลิกรัม ลามิวูดีน (Lamivudine) 150 มิลลิกรัม และซิโดวูดีน (Zidovudine) 250 มิลลิกรัม ดังนั้นชื่อยาที่ลงท้ายด้วย Z 250 จึงหมายถึงจำนวนส่วนประกอบของตัวยาซิโดวูดีนขนาด 250 มิลลิกรัมนั่นเอง2. GPO-VIR S30จีพีโอ เวียร์ เอส 250 (GPO-VIR S30) เป็นยาสูตรผสมของตัวยา 3 ชนิดเช่นเดียวกันกับ GPO-VIR Z 250 แต่จะเปลี่ยนจากตัวยาซิโดวูดีน กลายเป็น สตาวูดีน แทน ในยา 1 เม็ด จึงประกอบไปด้วยตัวยา เนวิราปีน (Nevirapine) 200 มิลลิกรัม ลามิวูดีน (Lamivudine) 150 มิลลิกรัม และ สตาวูดีน (Stavudine) 30 มิลลิกรัม ลักษณะเม็ดยาจะเป็นเม็ดยาวรีปลายมนสีขาว ด้านหนึ่งเป็นรอยบากในแนวตั้ง ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นสัญลักษณ์คล้ายรูปสายฟ้าที่สามารถมองเป็นตัวอักษร S ได้ และตามด้วยเลข 30 ซึ่งก็หมายถึงชื่อยา Stavudine 30 มิลลิกรัมนั่นเองค่ะ3. Efavirenz เอฟฟาไวเรนซ์ (Efavirenz) เป็นยาเม็ดชนิดยาเดี่ยว มีขนาดเม็ดละ 600 มิลลิกรัม ลักษณะเม็ดจะเป็นทรงรีค่อนข้างใหญ่ สีออกส้มเหมือนสีเปลือกไข่ไก่ ด้านหนึ่งจะมีสัญลักษณ์เป็นคำว่า EZ 600 ซึ่งเป็นชื่อย่อและตามด้วยขนาดเป็นมิลลิกรัมของตัวยา ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นผิวเรียบไม่มีรอยบาก4. Lopinavir/Ritonavirโลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ (Lopinavir/Ritonavir) เป็นตัวยาสูตรผสมระหว่างตัวยาโลปินาเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม และตัวยาริโทนาเวียร์ขนาด 50 มิลลิกรัม ลักษณะเม็ดยาจะเป็นเม็ดรี สีเหลืองหม่นเข้ม ด้านหนึ่งจะมีอักษรเป็นรูปตัว G (ขนาดใหญ่) ตามด้วย LR ซึ่งตัว G คาดว่าน่าจะหมายถึง GPO ซึ่งเป็นชื่อภาษาอังกฤษขององค์การเภสัชกรรม L และ R หมายถึงชื่อยาโลปินาเวียร์และริโทนาเวียร์ตามลำดับ ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นผิวเรียบไม่มีรอยบาก และมีขนาดเม็ดยาที่ใหญ่กว่ายาต้านไวรัสชนิดอื่น5. Tenofovir GPO 300ทีโนโฟเวียร์ จีพีโอ 300 (Tenofovir GPO 300) เป็นเม็ดยาที่ประกอบด้วยตัวยาทีโนโฟเวียร์ขนาดเม็ดละ 300 มิลลิกรัม ลักษณะเม็ดเป็นทรงรี ผิวด้านหนึ่งมีสัญลักษณ์เป็นรูปตัว GT ซึ่งหมายถึง GPO และ Tenofovir ส่วนผิวอีกด้านจะมีรอยบากในแนวตั้ง6. LAMIVIRลามิเวียร์ เป็นชื่อการค้าของตัวยาลามิวูดีน ขนาดเม็ดละ 300 มิลลิกรัม ลักษณะเม็ดยาจะเป็นเม็ดรีสีขาว ผิวด้านหนึ่งมีรอยบากตรงกลาง ด้านซ้ายมีตัวอักษรเป็นรูปตัว L หมายถึงชื่อยา Lamivudine ด้านขวาของรอยบากจะเป็นตัวเลข 2 เนื่องจากยาลามิวูดีนที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมภายใต้ชื่อการค้า LAMIVIR นั้นจะมี 2 ขนาดด้วยกันคือเม็ดละ 150 มิลลิกรัม ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์ L1 ดังนั้นยา LAMIVIR ขนาดเม็ดละ 300 มิลลิกรัมซึ่งมีขนาดยาต่อเม็ดมากกว่าเป็น 2 เท่าจึงได้สัญลักษณ์เป็นรูป L2 ส่วนผิวอีกด้านหนึ่งจะเป็นผิวเรียบ ไม่มีรอยบาก7. ANTIVIRแอนทิเวียร์ เป็นชื่อการค้าของตัวยา Zidovudine ขนาดเม็ดละ 300 มิลลิกรัม ตัวยาจะถูกบรรจุอยู่ในแคปซูลแข็งที่มีปลอกด้านหนึ่งเป็นสีเขียวเข้ม และปลอกอีกด้านหนึ่งจะเป็นสีเขียวอ่อน บนปลอกแคปซูลจะมีตัวอักษรเป็นรูป A-300 โดยตัว A จะหมายถึงชื่อย่อของตัวยา Zidovudine ซึ่งก็คือ AZT และ 300 จะหมายถึงขนาดของตัวยาเป็นมิลลิกรัมที่บรรจุอยู่ในเม็ด8. STAVIR สตาเวียร์ (STAVIR) เป็นชื่อการค้าของตัวยา สตาวูดีน (Stavudine) ขนาดเม็ดละ 300 มิลลิกรัม โดยตัวยาจะถูกบรรจุอยู่ในแคปซูลแข็งที่มีปลอกด้านหนึ่งเป็นสีฟ้าสว่าง และอีกด้านหนึ่งเป็นสีขาว โดยทั้งสองด้านจะมีสัญลักษณ์เป็นรูปตัว S-30 ซึ่ง S จะหมายถึงชื่อของตัวยาสตาวูดีน และ 30 หมายถึงขนาดยาเป็นมิลลิกรัม9. NERAVIRนีราเวียร์ (NERAVIR) เป็นชื่อการค้าของตัวยา เนวิราปีน (Nevirapine) ลักษณะจะเป็นเม็ดสีขาว ด้านหนึ่งเรียบไม่มีรอยบาก ส่วนอีกด้านจะมีรอยบากผ่ากลาง และทั้งสองด้านไม่มีสัญลักษณ์อื่นปรากฏอยู่ โดยในเม็ดยา 1 เม็ด จะประกอบไปด้วยตัวยาเนวิราปีนขนาด 200 มิลลิกรัมยาต้านไวรัสที่มีใช้กันในโรงพยาบาลในประเทศไทยนั้นก็มีอีกมากมายหลายชนิด ชนิดที่ผู้เขียนยกมาเป็นตัวอย่างทั้ง 9 ชนิดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในสูตรการรักษาหลักที่ใช้กันในปัจจุบันเท่านั้น และจะเห็นได้ว่ายาต้านไวรัส HIV จะมีทั้งแบบเป็นเม็ดที่เป็นตัวยาผสม ประกอบด้วยตัวยา 3 ชนิดในเม็ดเดียวอย่าง GPO-VIR Z 250 และ GPO-VIR S 30 และยาอื่น ๆ ที่เป็นชนิดตัวเดี่ยว ซึ่งการผลิตยาออกมาเป็นยาสูตรผสมในเม็ดเดียวนั้นก็เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการรับประทานยากับผู้ติดเชื้อ ทำให้สามารถรับประทานยาหลายชนิดได้ในครั้งเดียว แต่ข้อเสียคือจะไม่สามารถปรับเพิ่มหรือลดขนาดยาตัวใดตัวหนึ่งได้ ทำให้ต้องใช้ยาชนิดที่เป็นยาเดี่ยวแทนนั่นเองสำหรับหลักสำคัญในการใช้ยาต้านไวรัส HIV นั้นก็คือการต้องรับประทานยาสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน และเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา ผู้ป่วยควรรับประทานยาที่เวลาเดียวกันทุกวันห้ามลืมห้ามขาดหรือหยุดยาเองโดยเด็ดขาด อีกทั้งหากต้องการจะรับประทานยาอื่น ๆ เพิ่มเติมหรือต้องการจะซื้อยาอื่นมารับประทานเอง ก็ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีผลรบกวนการออกฤทธิ์ของยาต้านไวรัส HIV เหล่านี้ได้ หรือหากผู้ป่วยเกิดอาการไม่พึงประสงค์ใด ๆ จากยาก็ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อขอรับคำแนะนำหรือปรับเปลี่ยนการรักษาต่อไปค่ะ รูปภาพประกอบบทความ : ภาพที่ 1 / ภาพปกและภาพประกอบอื่นถ่ายโดยผู้เขียนบทความอื่นเกี่ยวกับเรื่องยา💊 งานวิจัยใหม่เกี่ยวกับการใช้ยา Lopinavir–Ritonavir ในผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 รุนแรง💊 ยาพ่นแบบ MDI คืออะไร และใช้อย่างไรให้ถูกต้อง ?💊 เก็บยาอย่างไร ให้ถูกวิธี มั่นใจยาไม่เสื่อม💊 ยาตีกัน (Drug Interactions) หมายถึงอะไรนะ ?💊 เลือกยาแก้แพ้แบบ “ง่วง” หรือ “ไม่ง่วง” แบบไหนดีกว่ากันนะ ?💊 ประเภทความเสี่ยงของยาที่ใช้ใน "หญิงตั้งครรภ์" เรื่องที่ว่าที่คุณแม่ต้องรู้💊 กินยา "พาราเซตามอล" อย่างไร ให้ปลอดภัย💊 ยาชุด ยาอันตรายถึงตาย ไม่ว่าใครก็ควรหลีกเลี่ยง !💊 วิธีใช้ยาเหน็บช่องคลอด ชนิดเม็ด แบบไม่มีอุปกรณ์ช่วยสอด💊 รู้ไว้ใช่ว่า กับเรื่องของ "ยาน้ำ"💊 {เภสัชขอเล่า} ทำไมยาบางตัวจึงต้องกินหลังอาหาร”ทันที”!💊 "เชื้อดื้อยา" ป้องกันได้ แค่กินยาให้ครบ💊 ควรทำอย่าไรเมื่อ "ลืมกินยา"💊 จริงหรือไม่ ? กินยามากไปแล้วทำให้ "ไตวาย"💊 "แพ้ยา" เป็นอย่างไร เรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนต้องรู้💊 ปัญหาการกินยาที่พบบ่อยใน "ผู้สูงอายุ"💊 เคล็ด(ไม่)ลับ แก้ปัญหา "ลืมกินยาบ่อย"💊 ใช้ "ยาหยอดตา" อย่างไรให้ถูกวิธี