ในยุคของการทำงานที่ต้องการปรับตัวสูง ทักษะจำเป็นก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น buzzword หรือศัพท์เฉพาะทางที่พูดกันซ้ำไปซ้ำมา แต่ในทางปฏิบัติจริงเรากลับทำไม่ค่อยได้ นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ลูกจ้างตกงานและเจ้าของบริษัทก็ล่มสลาย เพราะแพ้คู่แข่งอย่างไม่อาจตามได้ทัน รวิศ หาญอุตสาหะ ผู้ก่อตั้งเพจ Mission to the Moon และ CEO บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ในฐานะคนทำงานและคลุกคลีกับเรื่องแบบนี้มาตลอด จึงมีความตระหนักว่าคนสมัยนี้ขาดทักษะจำเป็นอะไรบ้างที่ต้องใช้ในชีวิตจริง เพื่อให้ตนเองและคนในบริษัทช่วยกันพาองค์กรให้รอดได้จริงๆ เนื้อหาภายในเล่ม 1.ทักษะการเล่าเรื่อง 2.กรอบความคิดแบบเติบโต 3.ความฉลาดในการปรับตัว 4.ทักษะการแก้ปัญหาอันซับซ้อน 5.การยืดหยุ่นทางความคิด 6.การคิดเชิงวิพากษ์ 7.การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 8.การเรียนรู้ตลอดชีวิต 9.การคิดเชิงโครงสร้าง 10.ความเข้าใจและความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 11.ความเข้าใจข้อมูล 12.การฟื้นตัว 13.การคิดจากความรู้หลายแขนง 14.การเป็นผู้นำและการสร้างอิทธิพล 15.การทำงานร่วมกัน 16.ความเข้าใจผู้อื่น 17.การคิดแบบผู้ประกอบการ 18.การมีศีลธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม 19.ความสามาาถในการก้าวข้ามวัฒนธรรม 20.การคิดแบบมองไปข้างหน้า ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1.วิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราเรียนรู้ดีที่สุดคือ “การขอความช่วยเหลือ หากเรามองเพื่อนร่วมงานเป็นศัตรูหรือคู่แข่งจะรู้สึกเครียดเปล่าๆ จะดีกว่าไหมหากเรามองพวกเขาเป็นโอกาสในการเรียนรู้ เป็นแรงบันดาลใจ และทรัพยากรที่จะสนับสนุนงานของเราให้ประสบผลสำเร็จ 2.ในช่วงเวลาแห่งการลองผิดลองถูก เราจะรู้สึกอึดอัด และรู้สึกไร้ความสามารถอยู่บ้าง แต่ต้องปล่อยวางอีโก้ และอนุญาตให้ตนเองเป็นคนไม่รู้หรือทำพลาดบ้าง ความรู้สึกนี้ไม่ได้จะอยู่กับเราตลอดไป เมื่อเรียนรู้และพัฒนาแล้ว เราจะขอบคุณตัวเองที่อดทนกับความอึดอัดนั้นมาได้ 3.แต่ส่วนใหญ่แล้วพอคนเราเจอคําวิจารณ์ก็อาจถอยกลับไปสู่แนวคิดแบบ Fixed Mindset หลายครั้ง เนื่องจากโดนทั้งอารมณ์โกรธและเสียใจครอบงำ นี่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์มาก ๆ ดังนั้นเราอาจต้องเผื่อเวลาให้ตัวเองรับมือกับอารมณ์บ้าง ไม่เป็นไรเลย ที่สำคัญคือต้องกลับมาตระหนักรู้ตนเองให้ได้เท่านั้นเอง 4.เราเจอปัญหาทุกวันในชีวิตประจำวันครับ ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างเช่น อากาศร้อน คอมพ์ค้าง รถติด หรือปัญหาที่ยากขึ้นมาหน่อย เช่น ส่งของให้ลูกค้าผิด หรือโปรเจ็กต์เสร็จช้ากว่ากำหนด ปัญหาเหล่านี้ เราหาทางออกได้เสมอ แม้อาจจะขรุขระบ้างก็ตาม 5.แต่ปัญหาที่ซับซ้อนจะต่างออกไป เพราะมักเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน ซึ่งทับซ้อนกันเป็นชั้น ๆ และส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อคนหลายกลุ่ม การหาทางออกนั้นทำได้ค่อนข้างยาก เพราะเมื่อแก้ปัญหาหนึ่งแล้วกลับเจออีกปัญหาหนึ่ง หรือไม่ก็ส่งผลกระทบกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่มีทางที่จะทำให้คนทุกกลุ่มพึงพอใจได้ 6.โดยทั่วไปในโลกวิชาการ ขั้นตอนของการคิดเชิงวิพากษ์มักประกอบด้วย 6.1. Clarify : แจกแจงวัตถุประสงค์และบริบทให้กระจ่าง ด้วย คําถามเบื้องต้น เช่น ประเด็นหรือปัญหาที่กําลังพูดถึง คืออะไร วัตถุประสงค์ของเราคืออะไร มีมุมมองหรือข้อโต้แย้ง อื่น ๆ ที่เราต้องพิจารณาไหม เราเข้าใจในประเด็นนี้เพียงพอหรือเปล่า เป็นต้น 6.2. Question : ตั้งคําถามกับแหล่งที่มาของข้อมูล เพราะ หลาย ๆ แหล่งข้อมูลนั้นอาจบิดเบือนความจริงหรือเต็มไปด้วย อคติทางความคิด ต้องระวังด้วยว่าข้อมูลที่เราได้มามีโอกาส มีจุดโหว่บ้างไหม เช่น ค่าเฉลี่ย ซึ่งเป็นข้อมูลที่เราใช้กัน แบบปกติ แต่ถ้าใช้แบบไม่ระวังจะถูกหลอกได้ เช่น ถ้าเราเห็น ป้ายว่าลําธารนี้มีความลึกเฉลี่ย 30 ซม. อาจจะคิดว่าเดิน ได้สบาย แต่จริง ๆ มันอาจลึก 10 ซม. เกือบตลอดทาง และมีหลุมลึก 15 เมตร (เพราะเฉลี่ยแล้วก็ได้ 30 ซม. เหมือนกัน) เป็นต้น 6.3. Identify : ระบุข้อโต้แย้งว่าคืออะไร และมีเหตุผลอะไรที่ใช้ ในการสนับสนุนบ้าง ขั้นตอนนี้ยิ่งทําได้ละเอียดเท่าไรจะยิ่งเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น 6.4. Analyse : วิเคราะห์แหล่งที่มาและข้อโต้แย้งอย่างเป็นกลาง อย่าเพิ่งใช้ความเชื่อเดิม ๆ ของเราตัดสินว่าอะไรถูกหรือผิด 6.5. Evaluate : ประเมินข้อโต้แย้งและความเห็นอื่น ๆ เป็นต้นว่า จุดแข็งและจุดอ่อนของข้อโต้แย้งนี้คืออะไร เหตุผลรองรับนั้นหนักแน่นพอไหม หรือประเด็นไหนบ้างที่ต้องสํารวจเพิ่ม 6.6. Synthesis : สร้างข้อโต้แย้งของตนเอง โดยเริ่มต้นที่การเลือก ประเด็นหลักหรือใจความสําคัญที่มีเหตุผลสนับสนุนชัดเจนเข้าใจง่าย และหนักแน่น รวมถึงเตรียมคําตอบไว้สําหรับ ข้อโต้แย้งที่อีกฝ่ายอาจจะยกขึ้นมา 7.หากผู้สมัครงานมีการคิดเชิงโครงสร้าง พวกเขาจะใช้ตรรกะและความรู้ที่มีอยู่ในการอนุมาน หาคำตอบของคำถามใหญ่ ๆ นี้ด้วยการถามเรื่องเล็ก ๆ และตอบเรื่องเล็ก ๆ ทีละเรื่อง ตัวอย่างเช่น ผู้สมัคร A ตอบว่าประมาณ 700,000 ตลับ โดยตัวเลขนี้มาจากจำนวนประชากรไทยและนักท่องเที่ยวที่คาดว่าน่าจะซื้อแป้งตลับ ซึ่งในส่วนแรกหรือจำนวนประชากรไทยนั้น ถ้าตีว่าประชากรไทยมี 66 ล้านคน ครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิง และตัดเด็กที่อายุน้อย กลุ่มที่นำมาคิดอาจจะเป็น 30 ล้านคน ใน 30 ล้านคนมีคนใช้แป้งราว 25 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นมีคนใช้แป้ง 7.5 ล้านคน ถ้าซื้อแป้งเฉลี่ยคนละ 6 ตลับต่อปีก็จะได้ 45 ล้านตลับต่อปี หาร 365 จะได้ประมาณ 700,000 ตลับต่อวัน ผู้สมัครคนนี้แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถคาดการณ์จากความรู้ที่มีจำกัด 8.นีล เดอกราส ไทสัน นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และนักเขียนคนดังใช้คำถามทำนองนี้ในการสัมภาษณ์เช่นกัน เขาถามผู้สมัครว่าของตึกที่พวกเขากำลังนั่งอยู่นี้มีความยาวเท่าไร ผลปรากฏว่ามีผู้สมัครคนหนึ่งทราบตัวเลขที่ถูกต้อง เพราะเขาเป็นวิศวกรและท่องจำส่วนสูงของตึกในเมืองนี้ได้ทั้งหมด ส่วนผู้สมัครอีกคนขอออกไปข้างนอก เพื่อวัดเงายอดแหลมของตึกเทียบกับเงาของตัวเองแล้วจึงเทียบอัตราส่วนจากตัวเลขนั้น แบบนี้ก็รู้แล้วว่าไทสันจะเลือกใคร 9.ความสามารถในการฟื้นตัวจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะถ้าเราฟื้นตัวได้ดีเมื่อเจอกับความเครียดหรือสถานการณ์ยากลำบาก เราจะหาทางแก้ไขปัญหา ตัดสินใจเรื่องสำคัญ และทำงานต่อไปได้ โดยไม่จมอยู่กับความผิดพลาดและไม่มีอารมณ์ลบที่คอยสร้างอคติ ซึ่งมักลดประสิทธิภาพการทำงานของเรา ยกตัวอย่าง หากเรามีปัญหากับเพื่อนร่วมงานและได้รับคำติ คนที่ไม่มีทักษะการฟื้นตัวก็มีแนวโน้มว่าจะจมอยู่กับความจากอีกฝ่ายไม่พอใจและความรู้สึกไม่ชอบเพื่อนร่วมงาน กลายเป็นความขัดแย้งที่ทำให้การทำงานต้องหยุดชะงัก แต่ถ้าเรามีทักษะการฟื้นตัวก็อาจยอมรับว่าเราเครียดกับปัญหาที่เกิดขึ้นและเสียใจกับคำติชมจริง ๆ แต่เราจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยการหาวิธีแก้ไขความขัดแย้งภายในทีมและปรับปรุงตัวเองหากพิจารณาแล้วว่าคำติของอีกฝ่ายเป็นจริง 10.ในอดีตความสามารถของการเป็นผู้นำที่ดีนั้นมักจะวนเวียนอยู่กับตัวผู้นำเป็นส่วนใหญ่ เช่น ผู้นำกล้าที่จะตัดสินใจในเรื่องยากๆหรือเปล่า มีความสามารถและประสบการณ์มากแค่ไหน วิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของเขานั้นเป็นอย่างไร แต่ในยุคหลัง เราเข้าใจกันมากขึ้นว่าความเป็นผู้นำนั้นไม่ได้เกี่ยวกับตัวหัวหน้าว่าเก่งแค่ไหนสักเท่าไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาดึงศักยภาพของทีมงานได้แค่ไหนมากกว่า 11.แนวคิดเรื่องการเป็นผู้นำที่ส่งเสริมลูกน้อง (Empowerment Leadership) หรือผู้นำที่คอยบริการลูกน้องก่อนว่าพวกเขามีความช่วยเหลือและทรัพยากรตามที่ต้องการไหม (Servant Leadership) จึงเป็นที่พูดถึงกันบ่อย ๆ ซึ่งหัวใจของแนวคิดในยุคหลังก็คล้ายกัน คือล้วนพูดถึงการสร้างสภาพแวดล้อมให้ทีมได้ทำงานได้อย่างเต็มขีดความสามารถแล้วจะทำได้อย่างไร ทุกอย่างเริ่มต้นจาก “ความเชื่อใจ” 12.หนังสือ Give and Take ของ Adam Grant เล่าไว้ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากที่คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดและคนที่ล้มเหลวมากที่สุดบนโลกนี้ต่างเป็นคนที่เราเรียกว่า “Giver” ทั้งสิ้น คือคนประเภทที่อยากจะมอบอะไรให้ผู้อื่นอยู่เสมอ ๆ สิ่งที่ทำให้ Giver บางคนประสบความสำเร็จ และบางคนล้มเหลวอยู่ที่ว่า Giver เหล่านั้นเลือกอยู่ท่ามกลางคนแบบไหน ถ้า Giver ปล่อยให้ตัวเองถูกล้อมรอบด้วย Taker (คนที่จ้องจะหาผลประโยชน์จากผู้อื่น) Giver คนนี้จะต้องมีชีวิตที่แย่แน่นอน เพราะโดนเอาเปรียบอยู่เสมอๆ แต่ถ้า Giver พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลาง Giver เหมือนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือสังคมของการให้ ที่ 1 + 1 จะเท่ากับ 3 หรือมากกว่า Happiness ในทีนี่คือการเมตตาต่อตัวเอง เมตตาต่อตัวเองด้วยการพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่เราไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ พาตัวเองไปอยู่ในสังคมแห่งการแบ่งปัน กว่า 95% เป็นการพูดคุยด้วยการยกตัวอย่างงานวิจัยจากต่างประเทศถึงปัญหาที่พบและวิธีแก้ปัญหา ไม่ค่อยมีประเด็นที่คุณรวิศพบเจอด้วยตัวเองสักเท่าไหร่ จึงไม่มีประเด็นในชีวิตจริงให้เราได้เรียนรู้ จึงเหมือนกับที่เราฟัง Podcast ในช่อง Mission to the Moon นั่นเอง เครดิตภาพ ภาพปก โดย mali maeder จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย Andrea Piacquadio จาก pexels.com ภาพที่ 4 โดย Pixabay จาก pexels.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ THINK AGAIN คิดแล้ว คิดอีก โดย Adam Grant รีวิวหนังสือ 15 INVALUABLE LAWS OF GROWTH รีวิวหนังสือ THINGS NO ONE TAUGHT US ABOUT LOVE เรื่องที่ไม่มีใครสอนเราเกี่ยวกับความรัก รีวิวหนังสือ THE RULES OF PEOPLE ครองใจคนได้ง่ายนิดเดียว เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !