“ Education is the most powerful weapon which you can use to change the world “ Nelson Mandela ทุกวันนี้โรงเรียนติวหรือโรงเรียนกวดวิชามีมากมายหลากหลายประเภท หันไปทางไหนก็เจอโรงเรียนติว ซึ่ง เปิดสอนหลากหลายวิชา เช่น อังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาไทย ภาษาจีน และมีเปิดสอนกันทุกระดับ ตั้งแต่อนุบาล จนถึงระดับปริญญาเอก.....ไม่เชื่อละสิ ...จริงค่ะ เพราะฉันเคยทำธุรกิจกวดวิชามาก่อน โรงเรียนกวดติวน่าจะมีพอ ๆ กับร้านกาแฟนะ แถมยังมีติวเตอร์รับสอนพิเศษที่บ้าน สอนที่ร้านกาแฟ หรือนั่งสอนตามศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้า ปัจจุบันมี Co-Working Space ให้ใช้อีกด้วย ……ทำไมถึงเยอะแยะมากมายแบบนี้...เด็กไทยเรียนอะไรกันหนักหนา ทำไมต้องไปโรงเรียนติว ? 1. นักเรียนเรียนในห้องเรียนไม่ทันอ้าว...เรียนไม่ทันหรือ...จริงหรือ...จริงค่ะ มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่มาเรียนพิเศษ เพราะเรียนในห้องเรียนที่โรงเรียนแล้วเรียนไม่ทันเพื่อน ก็ห้องเรียนหนึ่งมีนักเรียนเยอะ ลองถามจากนักเรียนที่มาติว บางคนบอกว่าที่ห้องเรียนที่โรงเรียนมีนักเรียนสามสิบห้า สี่สิบหรือสี่สิบห้าคน ทำไมเรียนกันห้องหนึ่งเยอะขนาดนี้ คุณครูก็สอน ...สอนกันไป นักเรียนเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ตามไม่ทัน หรืออาจจะเล่นกับเพื่อนก็มี เรียนไม่เข้าใจ ตามไม่ทันเวลาครูสอน ทำไมไม่ถามล่ะ…….ไม่กล้ายกมือถามในห้องเพราะคนเยอะ อายเพื่อนบ้าง กลัวเพื่อนล้อ หรือกลัวครูเลยไม่กล้าถาม 2. ค่านิยมในสังคมบ้านเรา บ้านเรานะ พ่อแม่อยากให้ลูกเรียนโรงเรียนดี ๆ มีชื่อเสียง เพราะคิดว่าโรงเรียนมีครูที่โคตรเก่ง ลูกฉันจะได้เก่ง เจอเพื่อนดี ๆ เรียนจบจากโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยเก่าแก่สมัครงานง่ายกว่า เช่น โรงเรียนสาธิตต่าง ๆ โรงเรียนเตรียมอุดม โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เป็นต้น พอเรียนจบมอปลายก็ไปต่อ....มหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่อเสียง พ่อแม่ภูมิใจ...คิดไปว่าน่าลูกฉันน่าจะมีอนาคตที่จะดี แล้วไงหรือ.....ก็ทำให้เกิดการสอบแข่งขันกันเพื่อเข้าเรียนโรงเรียนดี เด่น ดัง ของเด็ก ๆ เริ่มกันตั้งแต่ชั้นปอหนึ่ง ---- มอหนึ่ง----- มอสี่ รวมไปถึงการสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยด้วย ฉันเคยเจอนักเรียนหลายคนที่เรียนหนังสือและกวดวิชาอาทิตย์หนึ่งเจ็ดวันเลย ....ฉันรู้สึกเมื่อยสมองแทนนักเรียนจริง ๆ 3. อยากให้ลูกเก่ง หรืออยากให้ลูกเรียน EP หรือไม่ก็ Inter ทุกวันนี้โรงเรียนประถม มัธยมบ้านเรา...ทั้งของรัฐและเอกชนมีให้เลือกเรียนหลายหลักสูตร ลองนับกันดู หลักสูตรไทย EP(English Program) IEP (Intensive English Program) หลักสูตรสามภาษา หลักสูตรนานาชาติ ผู้ปกครองอยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี จึงให้ความสำคัญการศึกษา ยอมลงทุนกับเรื่องการเรียนของลูก เพราะ อยากให้ลูก ๆ ได้เรียนทั้งวิชาการและภาษาไปพร้อม ๆ กัน จึงมีนักเรียนจากหลักสูตรภาษาไทย ย้ายไปเรียน EP หรือ ย้ายไปเรียน Inter คือไปโรงเรียนนานาชาติเลย บางทีเป็นเรื่องยากสำหรับนักเรียน ๆ ในการปรับตัว มีนักเรียน ๆ หลายคนที่จบมอ.สามจากหลักสูตรไทยแล้วไปเรียนInter เหนื่อยมากไปต่อไม่ไหวก็มี 4. พวกเรียนแล้วลืม เรียนหนังสือในห้องเรียน----เรียน ---เรียน แล้วสอบพอสอบเสร็จคืนคุณครูไปหมดจด ฮะฮ่า .....เรื่องจริงนะ ฉันก็คืนคุณครูเป็นประจำ ก็สมองมันเล็กนะ ใครจะไปจำได้หมด แต่มองอีกมุมหนึ่ง .... พวกเราอาจจะเรียนเพราะต้องการให้สอบผ่านเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเอาไปต่อยอด หรือเอาความรู้ที่ได้ไปใช้ในการทำงาน หรือเป็นพื้นฐานในการเรียนวิชาอื่น พอถึงเวลาต้องใช้ความรู้นั้น เช่น สอบเรียนต่อ สอบเข้าทำงาน หรือสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ ก็ลืมไปแล้ว ฉันว่าจริงครึ่งไม่จริงครึ่งนะ เพราะบางวิชานะ เราเรียนแล้วไม่ได้ใช้ ทำให้จำไม่ได้จริง ๆ อย่างภาษาอังกฤษไง เรียน ๆๆๆๆ แล้วหยุดเรียน มาใช้อีกทีตอนสอบเรียนต่อ หรือทำงาน อย่างนี้ต้องมาโรงเรียนติว 5. เนื้อหาวิชาที่เรียนไม่สามารถไปใช้กับการทำงานได้ ที่เห็น ๆ คือ ภาษาอังกฤษนี่ชัดเจน เราใช้เวลาเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นปอหนึ่ง----จนถึงมอหก รวมเวลาแล้ว 12 ปี บวกกับภาษาอังกฤษที่เป็นวิชาบังคับในระดับมหาวิทยาลัยอีก รวมแล้วเราน่าจะเรียนภาษาอังกฤษประมาณ สิบสี่ปี เอ...ฉันบวกเลขผิดหรือเปล่านี่ แต่เมื่อถึงเวลาทำงาน เรากับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้...เป็นเพราะนักเรียนเรียนไม่เก่งเอง หรือเป็นเพราะหลักสูตรที่เราเรียนนั้นเนื้อหาไม่เหมาะกับการนำไปใช้ในการทำงาน เวลาภาษาในโรงเรียนเราไม่ได้เรียนพูดสักเท่าไหร่ ทำให้ไม่กล้าพูด ขาดความมั่นใจ ทั้งที่เราก็เรียนกันมาเยอะนะ ……..หรือเรียนแล้วไม่ได้ใช้อย่างต่อเนื่องทำให้ลืมไปได้เหมือนกัน ไม่เป็นไร...โรงเรียนติว โรงเรียนสอนภาษาช่วยได้ …,,มาเตรียมตัวสอบ TOEIC หรือเรียน Conversation กันทั้งห้าข้อที่เล่ามาฉันรวบรวมจากประสบการณ์การทำธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา จะว่าไปเรื่องการกวดวิชาไม่ได้มีเฉพาะบ้านเราเท่านั้น ในประเทศอื่น ๆ ก็มีโรงเรียนกวดวิชาเช่นกัน สังคมบ้านเราการแข่งขันทางการศึกษาสูง เรื่องนักเรียนไปโรงเรียนติวจึงหนีไม่พ้น แต่ฉันว่า...เดินสายกลางดีที่สุด คือ ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสได้ทำกิจกรรมที่พวกเขาสนใจบ้าง ภาพถ่าย ผู้เขียนถ่ายเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !