ชาวนาได้รับคำกล่าวขานว่า เป็นกระดูกสันหลังของชาติ เพราะต้องอดทนทำงานหนัก สู้แดด สู้ลม สู้ฝน สู้ทุกอย่างทั้งวัน ไม่ว่าท้องทุ่งนาจะร้อนระอุแค่ไหน พวกเขาก็ต้องอดทน เพื่อให้ได้ผลผลิตเป็นข้าวให้เราบริโภคกินกันอยู่ทุกวันนี้ อาชีพทำนาเป็นอาชีพดั้งเดิมและอยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนานตั้งแต่โบราณแล้ว ซึ่งพ่อกับแม่ของเราก็มีอาชีพทำนาเหมือนกัน วันนี้เราเลยจะมาเล่าเรื่องการทำนาของพ่อกับแม่ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันค่ะ พ่อกับแม่ของเรามีอาชีพทำนา ตั้งแต่จำความได้ก็ตามท่านไปนาอยู่บ่อยครั้ง จึงได้เห็นวิถีชีวิตของชาวนามาตั้งแต่เด็กจนโต พอถึงฤดูทำนาช่วงเดือนพฤษภาคม เมื่อมีฝนตกและดินเปียกพอให้ไถได้ พ่อจะรีบไปไถดะเพื่อกำจัดวัชพืช แล้วทิ้งดินไว้ให้แห้ง และไถแปรหรือไถพรวนพลิกหน้าดินให้ย่อยเป็นก้อนเล็ก ๆ จากนั้นก็จะเริ่มเข้าสู่การหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าว ซึ่งบ้านเราจะใช้การหว่านทั้งหมด หรือที่เรียกว่า ทำนาหว่าน หมายถึง การปลูกข้าวโดยการหว่านเมล็ดลงไปในนาที่มีการไถพรวนดินเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเลือกใช้วิธีแบบนาหว่านข้าวแห้ง คือ การหว่านเมล็ดข้าวแห่งในดินที่มีสภาพแห้งโดยไม่ต้องรอให้ฝนตก แล้วจะทำการไถคราดดินกลบทันที เพื่อป้องกันไม่ให้นกและหนูเข้ามากัดกินเม็ดข้าวสำหรับการหว่านข้าวนั้น พ่อกับแม่บอกว่าจะต้องหว่านให้ทั่วแปลงนาและสม่ำเสมอ ไม่ใช่หว่านแบบเป็นกระจุก เพื่อให้ข้าวงอกงามสม่ำเสมอกัน และจะได้รับธาตุอาหาร แสงแดดอย่างเพียงพอ หลังจากหว่านข้าวเสร็จแล้ว ก็เป็นช่วงรอฝนตกเพื่อให้ข้าวงอกเจริญเติบโตขึ้น แต่เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2019 ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ข้างกำลังงอกงามดี อยู่ ๆ ก็เกิดภัยแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลเป็นเวลา 2 เดือน ทำให้ข้าวตายหมด จนพ่อกับแม่ท้อใจว่าปีนี้คงไม่ได้ข้าวแน่นอน เพราะชาวนาลงทุนไปกับค่าปุ๋ย ค่ายาวัชพืช ค่าไถนา และค่าต่าง ๆ ไปหลายหมื่นบาท คิดดูว่าถ้าข้าวตายหมดจะมีผลผลิตได้อย่างไร และจะเอาเงินที่ไหนใช้จ่ายให้กับครอบครัว ทั้งสองท่านได้แต่ทำใจถ้าข้าวตายก็เริ่มต้นปลูกใหม่เพื่อให้ได้ข้าว ขาดทุนก็ช่างมัน ทำให้เรารู้ว่าข้าวคือหัวใจของชาวนาโดยแท้จริง แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีขึ้นมาบ้าง มีพายุเข้าทำให้มีฝนตกอย่างหนักจนน้ำท่วมและขังในทุ่งนา ทำให้ข้าวจากแห้งตายไปแล้วฟื้นคืนตัวกลับมาเจริญงอกงามใหม่อีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่ามีปาฏิหารย์เกิดขึ้น ทำให้ชาวนาอย่างพ่อกับแม่ดีใจเป็นที่สุด เรานี่น้ำตาแทบไหลเห็นข้าวงอกได้ก็ดีใจและได้เห็นพ่อกับแม่ยิ้มได้ ขอขอบคุณข้าวที่รอคอยน้ำรอคอยฝน ขอบคุณข้าวที่เห็นใจและรักชาวนา เมื่อเข้าช่วงกลางเดือนตุลาคม ปกติจะเป็นช่วงเข้าออกรวงและเก็บเกี่ยว แต่บ้านเราข้าวเพิ่งโตเพราะผลกระทบจากภัยแล้ง พ่อกับแม่จึงได้ทำการใส่ปุ๋ยยูเรียเพื่อบำรุงต้นข้าวให้ออกรวง และแล้วก็ถึงระยะเวลาที่เหมาะกับการเก็บเกี่ยว โดยสังเกตได้จาก จะมีรวงข้าวสีเหลืองอร่ามเต็มท้องทุ่งนา สมัยก่อนบ้านเราใช้วิธีเก็บเกี่ยวโดยใช้เคียวเกี่ยวข้าวซึ่งต้องใช้คนเป็นจำนวนมาก เราก็เคยไปรับจ้างเกี่ยวนะสมัยเป็นเด็กแบบว่าร้อนแทบตาย เข้าใจหัวอกชาวนาเลยว่า เขาเป็นผู้ที่มีความขยันและอดทนมากอย่างแท้จริง แต่ปัจจุบันนี้บ้านเราใช้รถเกี่ยวข้าวทำให้สะดวกสบายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้ประหยัดเวลา จากเมื่อก่อนใช้เวลาอยู่หลายวันกว่าจะเกี่ยวข้าวเสร็จ เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วพ่อกับแม่ก็จะเอาข้าวไปตากให้แห้งแล้วเก็บใส่ถุงกระสอบแล้วนำไปขายต่อไป แต่ปัจจุบันสหกรณ์การเกษตรมีรับซื้อแบบเกี่ยวสด คือ เกี่ยวแล้วบรรจุใส่ถุงกระสอบทันทีแล้วนำไปขาย ซึ่งราคาจะแตกต่างกันเล็กน้อย เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับวิถีชาวนา พอเราได้เห็นวิถีชีวิตของพ่อกับแม่ทำให้ต้องบอกตัวเองทุกครั้งว่าเวลาเรากินข้าวจะตักแค่พอกิน แล้วต้องกินให้หมด ทุกเม็ด ไม่กินทิ้งกินขว้าง เพราะกว่าพ่อกับแม่จะได้ข้าวมาแต่ละเม็ดเพื่อไว้ให้เรากินนั้น มีความยากลำบากยากเข็ญมากมาย จึงอยากให้ทุกท่านเห็นคุณค่าของข้าว ไม่อยากให้กินทิ้งกินขว้างและช่วยกันอุดหนุนข้าวไทยเพื่อช่วยชาวนากันด้วยนะคะ และขอขอบคุณผู้อ่านที่น่ารักด้วยนะคะที่ติดตามอ่านจนจบ^^ รูปภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน