ไฟหน้ารถยนต์เป็นอุปกรณืที่ช่วยส่องสว่างแก่ผู้ขับในยามกลางคืน เป็นไฟที่คอยเตือนแก่คนเดินเท้าด้วยว่ากำลังมีรถวิ่งผ่าน เป็นฟีเจอร์อุปกรณ์พื้นฐานที่ต้องมีติดรถทุกคัน ในปัจจุบันก็จะเป็นโคมไฟอยู่ด้านหน้ารถมีทั้งไฟฮาโลเจน, LED, Xenon ให้เลือกใช้กัน แต่ถ้าหากย้อนอดีตไปยังยุค 80 หรือ 90 ทราบหรือไม่ว่าไฟหน้ารถยนต์ในยุคนั้นมันมีฟีเจอร์สุดเจ๋งที่เรียกว่าไฟ Pop-up เปิดปิดได้เองด้วยไฟหน้าในรูปแบบ Pop-up นั้นมันคือไฟหน้ารถที่ใช้ส่องสว่างเหมือนกันครับ เพียงแต่ว่ามันจะข้อแตกต่างกับไฟหน้ารถปกติคือ ตัวโคมไฟจะถูกซ่อนอยู่ใต้ฝากระโปรงรถเมื่อปิด หากเปิดใช้งานตัวโคมไฟก็จะเด้งโผล่ออกมาจากฝากระโปรงทันที ซึ่งมันจะทำงานด้วยระบบไฟฟ้า มีการริเริ่มใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวกันในอเมริกาตั้งแต่ปี 1968 เลยทีเดียวสาเหตุที่ต้องมีไฟ Pop-up นั้นก็เป็นเพราะต้องการความสวยงาม ในแง่ของการออกแบบรถให้เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงเรื่องของ Aerodynamic เนื่องจากการเก็บซ่อนไฟหน้าไว้ข้างใน ทำให้นักออกแบบสามารถทำรถให้มีความลาดเอียงได้มากขึ้น สังเกตได้ว่ารถที่มีไฟรูปแบบนี้จะเป็นรถที่ใช้ความเร็วสูง เป็นรถสปอร์ตเน้นการขับขี่เสียมากกว่าโดยรถที่เข้าข่ายก็จะมี Mazda-Mx5, Toyota MR-2, Toyota AE86, Nissan 200SX หรือรถฝั่งตะวันตกอย่าง Dodge Charger, Ferrari Daytona เป็นต้นครับ จะเห็นได้ว่ารถที่มีการออกแบบเช่นนี้มีทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นเอเชีย, อเมริกาหรือยุโรปก็ตามอีกสาเหตุหนึ่งก็คือด้วยเทคโนโลยีการกระจายแสงไฟที่ยังไม่ก้าวหน้ามากนัก ทำให้ในยุคสมัยนั้นจึงต้องทำโคมไฟให้ใหญ่ขึ้น เพื่อส่องสว่างให้ชัดเจน แต่โดยหลัก ๆ แล้วคือเน้นดีไซน์ให้เป็นรถที่ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยครับ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะหากนำรถไฟ pop-up มาวิ่งในยุคปัจจุบัน มันก็ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่ดูเจ๋ง ดูเท่ ในสายตาหลาย ๆ คน จนบางทีก็อยากจะให้ผู้ผลิตรถยุคใหม่มีโคมไฟหน้าแบบนี้บ้างสิ่งนั้นคงจะเป็นได้แค่ความคิดครับ หากจะเป็นความจริงก็คงจะไม่ได้ จริงอยู่ที่มันมีการออกแบบที่สวยงาม เนื่องจากมันติดข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างครับ ไฟหน้าแบบ Pop-up นี้การทำงานเพื่อให้โคมไฟเปิดจะต้องใช้ระบบไฟฟ้า แน่นอนว่าหากใช้งานบ่อย ๆ มันก็ย่อมเสื่อมสภาพ ต้องมีการซ่อมบำรุงที่ซับซ้อน แถมมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงทีเดียวหากจะว่าในเรื่องของประสิทธิภาพการลู่ลมของรถมันก็อาจจะดีดังที่กล่าวมาข้างต้น ทว่ามันก็มีข้อเสียเป็นดาบสองคมเช่นกันเพราะถ้าหากเปิดไฟ Pop-up ขึ้นมา ตัวโคมไฟก็จะต้านแรงลมทำให้รถวิ่งได้ช้ากว่าที่เป็นด้วย ดังนั้นการขับรถในตอนกลางคืนจะทำความเร็วได้แย่กว่าตอนกลางวันอีกประเด็นที่สนใจคือมัน "อันตราย" ต่อคนเดินเท้าด้วย ? ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าเมื่อเปิดโคมไฟส่วนที่โผล่ออกมาจะมีมุมแหลม หากเกิดอุบัติเหตุชนคน จนกระเด็นขึ้นมาบนฝากระโปรงจะมีโอกาสสูงที่จะโดนมุมแหลม ๆ จนเกิดอาการบาดเจ็บมากยิ่งขึ้น โดยได้มีการทดลองแล้วก็พบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยหากรถพุ่งมาในความเร็วสูง จากอาการบาดเจ็บอาจกลายเป็นสาหัสมากกว่าเดิมรวมถึงเทรนด์การออกแบบรถที่เปลี่ยนไป พอขึ้นยุค 2000 การออกแบบรถจะมีการปรับเปลี่ยนให้ดูเป็นรถยุคใหม่ ตอบโจทย์คนอายุน้อยมากขึ้น แม้กระทั่งเส้นสายมุมเหลี่ยม ๆ ของรถก็เปลี่ยนให้ดูเป็นทรงกลมมนมากยิ่งขึ้นด้วยครับ ด้วยเหตุทั้งหมดนี้เลยทำให้ไฟหน้า Pop-up หมดความนิยมลงไป ประกอบกับค่านิยมการลดต้นทุน การทำโคมไฟที่ติดตัวมาเลย ทำให้ประหยัดในการผลิตแถมยังซ่อมบำรุงง่ายดังนั้นแล้วการมาของไฟ Pop-up นี้ก็มาจากความแปลกใหม่ในการผลิตรถ ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการลู่ลม ความสวยงามไม่เหมือนใคร แต่นั่นก็นำมาสู่ความเสื่อมนิยมเนื่องจากว่า มันเป็นอันตรายต่อผู้คนเดินเท้า ใช้ต้นทุนการผลิตสูง และทำความเร็วได้ไม่ดีหากวิ่งในตอนกลางคืน เพราะตัวโคมไฟต้านแรงลมเอาไว้จนสุดท้ายแม้ว่าในยุคนี้จะไม่มีรถคันไหนมีโคมไฟหน้าแบบ Pop-up อีกแล้วแต่มันก็ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การผลิตรถว่า ครั้งหนึ่งมันเคยมีฟีเจอร์แบบนี้ หากใครมีรถแบบนี้อยู่ก็ต้องบอกว่ามันเป็น Rare Item ไปเสียแล้วล่ะครับ หายากทั้งตัวรถและตัวอะไหล่ที่ราคาแพงด้วยที่มารูปภาพ: Markus Spiske on Unsplashที่มารูปภาพ: Joey Banks on Unsplashที่มารูปภาพ: Pavel Anoshin on Unsplashที่มารูปภาพ: sgcdesignco on Unsplashที่มารูปภาพ: Zaim Anwar on Unsplashที่มารูปภาพปก: Sadiq Awosanmi on Unsplash