10 วิธีรับมือปัญหาภัยพิบัติ มีน้ำท่วมฉับพลัน ต้องทำอะไรบ้าง อ่านต่อเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ในโลกที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว น้ำท่วมฉับพลันกลายเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและสร้างความเสียหายรุนแรงกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นฝนที่ตกหนักผิดปกติ หรือน้ำเหนือที่หลากมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้หลายพื้นที่ต้องจมอยู่ใต้น้ำภายในพริบตา และไม่ใช่แค่ทรัพย์สินที่เสียหาย แต่ชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนก็ตกอยู่ในอันตราย ซึ่งบทเรียนจากอดีตสอนให้เรารู้ว่า การรอให้น้ำท่วมแล้วค่อยคิดหาวิธีแก้ปัญหา ไม่ใช่ทางออกที่ดีอีกต่อไป แต่การมีแนวทางหรือแผนรับมือที่ชัดเจน กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด เพื่อให้เราสามารถตั้งรับและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที โดยคนที่รู้แนวทางรับมือน้ำท่วมฉับพลันอย่างถ่องแท้ จะได้เปรียบกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดนะคะ เพราะคนเหล่านั้นจะมีความพร้อมทั้งด้านกายภาพและจิตใจ ไม่ตื่นตระหนกตกใจเมื่อภัยมาถึงจริง สามารถวางแผนการอพยพได้อย่างรวดเร็ว จัดการทรัพย์สินมีค่าได้อย่างเป็นระบบ และที่สำคัญที่สุดคือสามารถดูแลความปลอดภัยของตนเองและคนในครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการรู้แนวทางการรับมือจึงไม่เพียงแต่ช่วยให้รอดพ้นจากอันตรายเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่ยังช่วยให้สามารถฟื้นฟูชีวิตหลังน้ำลดได้อย่างรวดเร็วและเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอีกด้วย และบุคคลที่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้มากที่สุด คือ ประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง หรือแม้แต่ผู้ที่คิดว่าตนเองไม่เคยประสบภัยน้ำท่วมมาก่อนค่ะ เพราะภัยธรรมชาติไม่เลือกปฏิบัติ และอาจมาถึงเราได้ทุกเมื่อ โดยการรู้และเข้าใจแนวทางปฏิบัติเพื่อบริหารจัดการกับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยง จะทำให้เรามีโอกาสรอดและผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างเข้มแข็ง ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม และต่อไปนี้คือวิธีรับมือหากเกิดน้ำท่วมฉับพลับนะคะ 1. ติดตามข่าวสารและประกาศเตือนอย่างใกล้ชิด คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การรับมือกับน้ำท่วมฉับพลันนั้น หัวใจสำคัญคือการเตรียมพร้อมและติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดค่ะ การที่เราหมั่นตรวจสอบข่าวสารและประกาศเตือนจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นกรมอุตุนิยมวิทยา หรือการแจ้งเตือนจากทางจังหวัด ก็เหมือนเราได้อัปเดตสถานการณ์ตลอดเวลา ทำให้เรามีเวลาวางแผนและเตรียมตัวได้ทันท่วงที เช่น การย้ายของขึ้นที่สูง เตรียมถุงยังชีพ หรืออพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยสิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยลดความเสียหายและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ จึงเป็นเหมือนมีเกราะป้องกันให้เราและครอบครัวรอดพ้นจากภัยธรรมชาติค่ะ 2. เตรียมถุงยังชีพฉุกเฉิน นอกจากจะต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดแล้ว การเตรียมถุงยังชีพฉุกเฉินก็เปรียบเสมือนการมีเกราะป้องกันภัยที่สำคัญมากค่ะ ลองนึกภาพว่าเมื่อน้ำมาเร็วและกระแสน้ำแรงจนเราไม่สามารถออกไปไหนได้ ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นก็อาจถูกตัดขาดหรือไม่สามารถหาซื้อได้ทันที แต่ถุงยังชีพจะเข้ามาช่วยชีวิตเราและครอบครัวได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม อาหารแห้ง ยาประจำตัว ไฟฉาย หรือแม้แต่เสื้อผ้าสำรอง สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราประทังชีวิตอยู่รอดได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และลดความกังวลใจลงไปได้มาก เหมือนมีเครื่องมือยังชีพอยู่ในมือพร้อมรับทุกสถานการณ์ ซึ่งถือเป็นการลงทุนเล็กๆ น้อยๆ ที่จะสร้างความอุ่นใจและปลอดภัยให้เราได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียวค่ะ 3. เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ เมื่อน้ำท่วมฉับพลันเกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาไม่แพ้ความเสียหายทางกายภาพ นั่นคือจุลินทรีย์และสิ่งสกปรกที่น้ำพัดพามาค่ะ ซึ่งการเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคไว้ล่วงหน้า จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเมื่อน้ำลดสิ่งที่เราต้องเผชิญคือคราบโคลน เชื้อรา และจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนอยู่ทุกซอกทุกมุมของบ้าน การมีน้ำยาทำความสะอาดและอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาล้างพื้น น้ำยาซักผ้าขาว แอลกอฮอล์ ถุงมือยาง รองเท้าบูท และแปรงขัด จะช่วยให้เราสามารถทำความสะอาดบ้านได้อย่างถูกสุขอนามัย ลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยที่มากับน้ำ และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้กลับมาน่าอยู่ได้อย่างรวดเร็วค่ะ 4. เก็บของมีค่าและเอกสารสำคัญไว้ในที่สูงและกันน้ำ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า การรับมือกับน้ำท่วมฉับพลัน ไม่ได้มีแค่เรื่องความปลอดภัยของชีวิตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปกป้องทรัพย์สินและเอกสารสำคัญของเราด้วยค่ะ ลองนึกภาพดูว่า ถ้าจู่ๆ น้ำก็เอ่อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ข้าวของเครื่องใช้ที่เปียกปอนอาจไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเอกสารสำคัญอย่างโฉนดที่ดิน บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน หรือแม้แต่เครื่องประดับและเงินสดที่เก็บไว้ แล้วโดนน้ำท่วมเสียหายไป เราคงปวดใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ? ดังนั้นการเก็บของมีค่าและเอกสารสำคัญไว้ในที่สูงและกันน้ำ จึงเป็นสิ่งที่เราควรทำเป็นอันดับต้นๆ เมื่อมีสัญญาณเตือนภัยเกี่ยวกับน้ำท่วม ให้ลองหาภาชนะที่กันน้ำได้ดี เช่น กล่องพลาสติกที่มีฝาล็อกสนิท หรือถุงซิปล็อกขนาดใหญ่ แล้วนำเอกสารและของมีค่าใส่ไว้ให้เรียบร้อย จากนั้นนำไปเก็บไว้ในชั้นบนสุดของตู้ โต๊ะ หรือจุดที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ในบ้าน การทำแบบนี้จะช่วยให้เราอุ่นใจได้ว่า แม้บ้านจะโดนน้ำท่วม แต่เอกสารสำคัญและทรัพย์สินมีค่าของเราก็จะยังคงปลอดภัยและพร้อมใช้งานได้หลังน้ำลดลงค่ะ 5. ระมัดระวังอันตรายจากสัตว์มีพิษและสิ่งของที่ลอยมากับน้ำ รู้ไหมคะว่า สิ่งที่เราต้องระวังไม่ใช่แค่น้ำที่เชี่ยวกรากเท่านั้นค่ะ แต่ยังมีภัยแฝงที่มองไม่เห็นและอันตรายไม่แพ้กัน นั่นคือสัตว์มีพิษและสิ่งของอันตรายที่ลอยมากับน้ำ ลองนึกภาพดูว่าสัตว์เลื้อยคลานอย่างงู ตะขาบ หรือแม้แต่สัตว์มีพิษอื่นๆ ที่ปกติจะอยู่ในที่ที่ควรอยู่ ก็อาจหนีน้ำขึ้นมาหลบตามบ้านเรือนหรือที่สูง ทำให้เราเสี่ยงถูกกัดหรือต่อยได้ง่ายๆ ค่ะ นอกจากนี้กระแสน้ำที่เชี่ยวก็มักจะพัดพาเอาสิ่งของต่างๆ ทั้งไม้ซุง เศษเหล็ก แก้วแตก หรือแม้แต่สายไฟที่ขาดลอยมากับน้ำได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอันตรายต่อคนเราได้ ที่ในบางครั้งก็อาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ หากเราจำเป็นต้องเดินลุยน้ำ ควรใช้ไม้เท้าหรืออุปกรณ์ยาวๆ คอยตรวจสอบเส้นทางข้างหน้าเสมอ และสวมรองเท้าบูทหนาๆ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจมองไม่เห็น การเตรียมพร้อมและระมัดระวังเป็นพิเศษ จะช่วยให้เราปลอดภัยจากภัยแฝงเหล่านี้ได้ค่ะ 6. เตรียมน้ำดื่มและน้ำใช้ที่สะอาด เมื่อเกิดสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน สิ่งที่สำคัญไม่แพ้อาหารเลยก็คือ น้ำดื่มและน้ำใช้ที่สะอาดค่ะ ลองนึกภาพดูว่าเมื่อน้ำท่วม ระบบประปาอาจหยุดทำงานหรือน้ำประปาอาจปนเปื้อนไปด้วยเชื้อโรคและสิ่งสกปรกต่างๆ ทำให้เราไม่สามารถหาน้ำสะอาดมาดื่มกินหรือใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย ดังนั้นการเตรียมน้ำดื่มบรรจุขวดไว้ให้เพียงพอสำหรับทุกคนในบ้านอย่างน้อย 3-7 วัน เป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม นอกจากนี้การเตรียมน้ำสะอาดสำหรับใช้ในการชำระล้าง ทำความสะอาด หรือสุขอนามัยส่วนตัวก็สำคัญไม่แพ้กัน การมีแหล่งน้ำสำรองที่สะอาดจะช่วยให้เราสามารถประทังชีวิตอยู่รอดได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยจากน้ำที่ไม่สะอาด และยังช่วยให้เรายังคงรักษาสุขอนามัยที่ดีได้แม้ในยามวิกฤต ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันค่ะ 7. ตัดกระแสไฟฟ้าและปิดวาล์วแก๊ส สิ่งที่เราควรพิจารณาทำอย่างยิ่งหากมีเวลาและสามารถทำได้อย่างปลอดภัย คือ การตัดกระแสไฟฟ้าและปิดวาล์วแก๊สค่ะ เพราะเมื่อน้ำเอ่อเข้ามาในบ้าน สายไฟที่จมอยู่ใต้น้ำอาจทำให้เกิดไฟฟ้ารั่ว ไฟฟ้าลัดวงจร หรือแม้กระทั่งไฟดูดได้ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว ยิ่งถ้ามีแก๊สหุงต้มอยู่ในบ้านด้วยแล้ว น้ำท่วมอาจทำให้ถังแก๊สล้ม หรือเกิดการรั่วไหล ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดระเบิดหรือเพลิงไหม้ได้ค่ะ ดังนั้นการรีบปิดเบรกเกอร์ไฟหลักของบ้าน และปิดวาล์วถังแก๊สให้สนิท เป็นการตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อป้องกันอันตรายร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ การทำเช่นนี้ไม่เพียงช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนจากไฟฟ้าและแก๊สในช่วงเวลาที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยค่ะ 8. ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า สิ่งที่ตามมาพร้อมกับน้ำที่เอ่อท่วม คือ จุลินทรีย์และสิ่งสกปรกมากมายที่ปนเปื้อนมากับน้ำค่ะ โดยมือของเราอาจไปสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อน หรือแม้แต่สัมผัสกับน้ำท่วมโดยตรง ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งปนเปื้อนที่มองไม่เห็น หากเรานำมือที่ไม่สะอาดไปสัมผัสใบหน้า หยิบอาหารเข้าปาก หรือดูแลคนในครอบครัว ก็อาจนำสิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกายและทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายๆ ค่ะ ดังนั้นการล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ หากไม่มีน้ำสะอาด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ เพราะการทำเช่นนี้เป็นเหมือนเกราะป้องกันด่านแรก ที่ช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของสิ่งก่อความเจ็บป่วยในคนเราที่มาพร้อมกับน้ำท่วม การใส่ใจเรื่องสุขอนามัยเล็กๆ น้อยๆ นี้ จะช่วยให้เราและคนที่เรารักปลอดภัยจากความเสี่ยงในช่วงเวลาที่ยากลำบากได้ค่ะ 9. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำท่วมโดยตรง สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำท่วมโดยตรงค่ะ เนื่องจากน้ำที่เอ่อล้นเข้ามานั้น ไม่ใช่น้ำสะอาดอย่างที่เราเห็นในลำคลองปกติ แต่ปนเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรก จุลินทรีย์ สารเคมีจากโรงงาน หรือแม้กระทั่งสิ่งปฏิกูลที่ถูกพัดพามาจากทุกทิศทุกทาง การเดินลุยน้ำโดยไม่ป้องกันตัว อาจทำให้สิ่งปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองไม่เห็น หรือผ่านผิวหนังที่สัมผัสกับน้ำโดยตรงได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเจ็บป่วยในรูปแบบต่างๆ ตามมา นอกจากนี้ใต้น้ำที่ขุ่นข้นยังอาจมีสิ่งของมีคม สายไฟขาด หรือสัตว์มีพิษซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นอันตรายที่เราคาดไม่ถึง การสวมรองเท้าบูทยางหนาๆ ถุงมือ หรือใช้ไม้คอยสำรวจเส้นทางก่อนก้าวเดิน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ การตระหนักถึงภัยเหล่านี้และพยายามลดการสัมผัสให้มากที่สุด จะช่วยปกป้องตัวเราจากอันตรายและสิ่งก่อความเจ็บป่วยที่มากับน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ 10. ระวังความเจ็บป่วยที่มากับน้ำท่วมและสัตว์ที่เป็นพาหะ สิ่งที่น่ากังวลไม่แพ้น้ำที่ไหลบ่าก็คือ ความเจ็บป่วยที่มากับน้ำท่วมและสัตว์และแมลงที่เป็นพาหะค่ะ ที่เป็นแบบนั้นได้ ก็เพระว่าน้ำที่ท่วมขังไม่ได้มีแค่น้ำเท่านั้น แต่ยังปนเปื้อนไปด้วยจุลินทรีย์ และสิ่งสกปรกนานาชนิดที่ถูกชะล้างมาจากพื้นที่ต่างๆ ทำให้เราเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์พาหะอย่างยุงลายก็อาจแพร่พันธุ์ได้ดีในแหล่งน้ำขังหลังน้ำลด ทำให้เสี่ยงต่อการระบาดของความเจ็บป่วยที่เกิดจากยุง หนูก็สามารถคุกคามคนเราได้ ด้วยการแพร่กระจายของสิ่งก่อความเจ็บป่วยในตัวหนู ส่วนตะขาบหรือสัตว์มีพิษอย่างงู ที่หนีน้ำขึ้นมาหลบตามบ้านเรือน ก็สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ค่ะ การตระหนักถึงภัยเงียบเหล่านี้และป้องกันตัวเอง เช่น การหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำโดยตรง สวมอุปกรณ์ป้องกัน และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย การกำจัดหนู กำจัดแมลงสาบ ฯลฯ จะช่วยให้เราปลอดภัยจากความเจ็บป่วยและอันตรายที่มองไม่เห็นในช่วงวิกฤตได้ค่ะ และทั้งหมดนั้นคือแนวทางเตรียมความพร้อม หากในพื้นที่ของเรามีโอกาสประสบกับปัญหาน้ำท่วมฉับพลันค่ะ ซึ่งหลายคนอาจจะรู้สึกว่ามีขั้นตอนมากมายเต็มไปหมดจนไม่แน่ใจว่า จะทำตามได้ครบทุกข้อจริงหรือเปล่า? ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ใช่ไหมค่ะ? ต้องบอกเลยว่าการทำตามได้ทุกข้อนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยเวลาที่จำกัดและความโกลาหลที่อาจเกิดขึ้น การจะทำได้ทั้งหมดอาจเป็นเรื่องยาก สถานการณ์นี้ผู้เขียนพอมองภาพออก ซึ่งสิ่งสำคัญกว่านั้นคือการที่เราเข้าใจหลักการ และเลือกทำสิ่งที่จำเป็นที่สุดก่อน เพื่อให้เราและครอบครัวรอดพ้นจากภัยได้อย่างปลอดภัยที่สุด โดยแนวทางข้างต้นจะเป็นเหมือนกับการมีคู่มือฉุกเฉินประจำบ้านที่เรารู้ว่าอะไรคือหัวใจสำคัญจริงๆ และต้องทำนะคะ สำหรับสถานการณ์จริงที่น้ำมาเร็วและกระทันหัน 3 อย่างแรกที่สำคัญที่สุด ที่ทุกบ้านควรทำและเน้นย้ำเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะมีแต่ผู้หญิงหรือผู้สูงอายุอยู่ในบ้านก็ตาม คือ อย่างแรกเลยให้ติดตามข่าวสารและประกาศเตือนอย่างใกล้ชิดที่สุด เพื่อให้รู้สถานการณ์และมีเวลาตัดสินใจ ถัดมาคือให้เตรียมถุงยังชีพฉุกเฉิน ที่มีสิ่งจำเป็นพื้นฐาน เช่น น้ำดื่ม อาหารแห้ง ยา และไฟฉาย ให้พร้อมหยิบหนีได้ทันที เพราะนี่คือเครื่องช่วยชีวิตด่านแรก และสุดท้ายคือให้เก็บของมีค่าและเอกสารสำคัญไว้ในที่สูงและกันน้ำ เพราะแม้ตัวจะปลอดภัย แต่เอกสารสำคัญต่างๆ ก็มีผลต่อการฟื้นฟูชีวิตหลังน้ำลดค่ะ ซึ่งการเริ่มต้นจาก 3 ข้อนี้จะช่วยให้มีหลักประกันความปลอดภัยในเบื้องต้น และทำให้การรับมือในขั้นตอนต่อๆ ไปเป็นไปได้อย่างมีสติและเป็นระบบมากขึ้นนะคะ ซึ่งในส่วนของผู้เขียนนั้นต้องบอกว่า ยังไม่เคยเจอประสบกับปัญหาเรื่องน้ำท่วมค่ะ แต่ที่นี่ก็ได้ติดตามข่าวสารตลอดในเรื่องของปริมาณฝนที่จะตกในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง หากพื้นที่ไหนมีความเสี่ยงก็จะเลี่ยงที่จะไปแถวนั้นค่ะ โดยการจัดการสิ่งต่างๆ ภายในบ้านที่ผู้เขียนได้ทำตลอดในช่วงนี้ คือ การล้างมือให้สะอาดตลอดเวลา การควบคุมและกำจัดสัตว์และแมลงพาหนะชนิดต่างๆ การบริหารจัดการน้ำดื่มและน้ำใช้ให้เพียงพอและสะอาดค่ะ และเคยมีประสบการณ์เห็นที่อื่นน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งถุงยังชีพคือหนึ่งอย่างที่เรามักเห็นว่าผู้คนได้รับการแจกจ่ายนะคะ ยังไงนั้นหากคุณผู้อ่านอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ก็อย่าลืมนำข้อมูลในบทความนี้ไปเป็นแนวทางว่าต้องทำอะไรบ้างนะคะ ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป และถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดดูโปรไฟล์ได้เลยค่ะ #น้ำท่วมฉับพลัน #ภัยธรรมชาติ #ปัญหาสุขาภิบาล #FloodImpact เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก โดย Wes Warren จาก Unsplash และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1 โดย Freepik จาก FREEPIK, ภาพที่ 2-3 โดยผู้เขียน และภาพที่ 4 โดย Wirestock จาก FREEPIK เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 9 วิธีสังเกตน้ำป่าไหลหลาก ในน้ำตกหรือลำธาร ภัยพิบัติหน้าฝน 10 แนวทางดูแลห้องส้วมในบ้าน ช่วงมีฝนตกหนัก ระดับน้ำท่วมสูง 9 ปัญหาด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ช่วงฝนตกหนัก มีอะไรบ้างควรรู้! เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !