การทำธุรกิจยานยนต์ มันเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเจอคู่แข่งทางธุรกิจโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหนหรือการทำตลาดเปิดตัวรถรุ่นใดก็ตาม ก็มักจะมีอีกแบรนด์เปิดตัวรถเพื่อท้าชนแข่งขันทันที ถ้าเป็นการแข่งขันในไทยอาจจะเป็นแบรนด์ Toyota กับ Honda ที่ขับเคี่ยวกันมาหลายปี แต่ถ้าหากข้ามทวีปไปยังสหรัฐอเมริกา ก็คงจะเป็นแบรนด์ Ford และ Chevrolet สองยักษ์ใหญ่แดนมะกันล่ะครับที่ต่อสู้กันมานานการต่อสู้กันของสองค่ายรถอเมริกันที่เห็นภาพชัดเจนที่สุดก็ไม่พ้น Muscle Car ประจำค่ายได้แก่ Ford Mustang กับ Chevrolet Camaro ที่เชื่อหรือไม่ว่าสองรุ่นนี้เขาขับเคี่ยวกันมานานกว่า 50 ปีกันเลยทีเดียว มันก็เป็นเรื่องปกติครับ เพราะต่างฝ่ายก็อยากจะได้ยอดสั่งจอดรถที่สูงกว่าคู่แข่ง ดังนั้นจึงต้องมีการออกรถรุ่นใหม่เพื่อเกทับกัน ไม่ว่าจะเรื่องดีไซน์, สมรรถนะ หรือเทคโนโลยีจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ก็มาจาก Ford ที่หลังจากเป็นผู้ผลิตรถโดยใชัระบบสายพานเป็นเจ้าแรก พวกเขาก้ได้ผลิตรถบ้านออกมาจำหน่ายมากมาย จนกระทั่งในปี 1964 พวกเขาก็เปิดไลน์ผลิตรถ Muscle Car อันเป็นที่นิยมของชาวอเมริกันในชื่อรุ่น Ford Mustang กับเครื่องยนต์ V6 เกียร์ 3 สปีด 2.8 ลิตร 101 แรงม้า การเปิดตัวเป็นไปด้วยดีพร้อมกับทำยอดขายได้อย่างยอดเยี่ยมกว่า 3 แสนคัน จนต้องมีการปรับปรุงเครื่อง V8 เพิ่มความแรงอีกที่มารูปภาพ: Robert Balog จาก Pixabayขณะเดียวกันในยุคดังกล่าวซึ่งเป็นยุคที่รถ Muscle Car กำลังเฟื่องฟู GM บริษัทยานยนต์ของอเมริกันเองก็ต้องการที่จะลงสู่สนามรถพลังกล้ามเช่นกัน หลังจากนั้น 3 ปีก็ได้ส่งรถ Chevrolet ในรุ่น Camaro Z/28 ออกมาประชันทันที ซึ่งรถของค่ายโบว์ไทยังเป็นรถที่ใช้แข่งขัน อินดี้ คาร์ 500 ที่เป็นรายการแข่งรถยอดนิยมของอเมริกันด้วย หลังจากเปิดตัวมันก็ทำให้ Ford รู้แล้วว่าสงครามรถสมรรถนะสูงได้เริ่มต้นแล้วการขับเคี่ยวของ Ford กับ Chevrolet เรียกว่าเป็นคู่แค้นก็ว่าได้เพราะเมื่อมี Mustang ลงสนามที่ไหน ก็จะต้องมี Camaro อยู่ที่นั่นเสมอ ไม่ว่ายุค Muscle Car จะมีรถหลายยี่ห้อมาประชันกันแต่ศัตรูเพียงหนึ่งเดียวของทั้งคู่ก็ยังเหมือนเดิม แม้จะหมดยุค Muscle Car ด้วยวิกฤติน้ำมันกับเศรษฐกิจโลกก็ตาม การปรับตัวของทั้งสองค่ายก็ยังดำเนินต่อมา สร้างรถเจนเนอเรชั่นที่ 2 ออกมาไล่เลี่ยกันอย่างในปี 1974 เป็นต้นมามีการปรับโครงสร้างรถให้เล็กลง แต่ความแรงก็ไม่ด้อยไปกว่าเดิม เมื่อ Ford เปิดตัว Mustang ใหม่ที่พกเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นด้วยเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด พร้อมกับพวงมาลัยไฟฟ้าและระบบพาวเวอร์เบรค แถมมีให้ลูกค้าเลือกรูปทรงรถแบบ Coupe หรือ Hatchback ด้วย ในส่วนของ Chevrolet เองก็ไม่น้อยหย้าปล่อย Camaro ในเวอร์ชั่นที่มีจุดศูนย์ถ่วงลดลงและฐานล้อกว้างขึ้น เพื่อเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ที่มารูปภาพ: eddielam1221 จาก Pixabayแม้ว่าทั้งสองจะต่อสู้อย่างสูสีแต่ในปี 1985 เป็นต้นมาก็มีจุดเปลี่ยนที่ Ford ทำยอดขายแซงหน้าได้ตลอดครับ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีเครื่องยนต์ แพลตฟอร์มใหม่ที่ตอบรับกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (Fox-4) บวกกับการปรับโฉมกระจังหน้าให้ดุดันสมชายชาตรี อีกอย่างก็คือการเปิดตัวรถที่ Ford จะเปิดตัวก่อน ขณะที่ Chevrolet มักจะไล่ตามเปิดตัวทีหลังอีกปัจจัยที่ Ford ทำยอดขายได้ดีคือราคารถที่ถูกจับต้องได้แม้จะเป็นรถตัวแรง การขับขี่ที่ควบคุมง่าย รูปทรงที่ดูเท่แข็งแกร่งให้ความเป็น "แมน" มากกว่าคู่แข่งฝ่ายตรงข้ามแต่ผู้นำย่อมมีวันตกบัลลังก์เมื่อปี 2010 Chevrolet Camaro ได้ปรับเปลี่ยนโฉมแพลตฟอร์มใหม่หลังจากหยุดพัฒนารถรุ่นนี้มา 7 ปีเต็ม ด้วยรูปลักษณ์กระจังหน้าแบบใหม่ เครื่องยนต์ V6 3.6 ลิตร 302 แรงม้า และเครื่อง V8 6.2 ลิตร 426 แรงม้า ด้วยอานิสงค์ของภาพยนตร์ Transformers ในขณะนั้นด้วยที่นำ Camaro เป็นรถแปลงกายของ Bumblebee ทำให้ยอดขายของมันพุ่งกระฉูด 500,000 คัน ต่อเนื่องไปอีก 5 ปีเต็มเลยทีเดียวที่มารูปภาพ: christels จาก Pixabayหลังจากนั้น Ford และ Chevrolet ก็แข่งขันผลัดกันเป็นผู้นำผู้ตามตลอด แม้ว่าความเป็น American Muscle Car จะจางหายไปจนเป็น Performance Car ไปทั้งคู่ แต่กลิ่นอายของความเป็นอเมริกันยังอัดแน่นไม่เปลี่ยนแปลง จนกระทั่งปัจจุบันปี 2020 ทั้งสองค่ายก็ยังต่อสู้แข่งขันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แม้ว่าในประเทศไทยตอนนี้จะเหลือแค่ Ford อย่างเดียวไปแล้วก็ตามถือว่าเป็นคู่อริแห่งวงการรถยนต์ที่สู้กันยาวนานกว่า 50 ปีกันเลยทีเดียว มันก็ได้แง่คิดหลายแบบครับไม่ว่าจะเป็นการไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ความพยายามจนสำเร็จเหมือน Chevrolet ที่ตามหลัง Ford ตลอดแต่สามารถทำยอดขายแซงหน้าได้ ความคิดสร้างสรรค์การพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องของ Ford ก็เป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะทาง Ford ก็มีเครื่องยนต์เทคโนโลยี Ecoboost อันน่าภาคภูมิใจ ถูกบรรจุลงในรถยนต์หลายรุ่นตำนานการต่อสู้ระหว่าง Mustang กับ Camaro จะยังดำเนินต่อไป ก็ต้องมาดูกันต่อไปครับว่าใครจะเป็นเบอร์หนึ่งของแบรนด์อเมริกันที่แท้จริงที่มารูปภาพปก: domaxi198 จาก Pixabay