หลังจากติ๊กตอก (TikTok) เริ่มมีผู้ใช้งานมากขึ้น แพลตฟอร์มใหญ่อย่างเมตา (Meta) ผู้ให้บริการเฟซบุ๊ก (Facebook) และอินสตาแกรม (Instagram) รวมถึงยูทูบ (Youtube) ต่างก็ปรับตัวเพื่อแข่งขันในรูปแบบของวิดีโอสั้นมากขึ้น เช่น รีลส์ (Reels) และช็อตส์ (Shorts) ตามลำดับ โดยตอนนี้ทั้ง 3 แพลตฟอร์ม ก็มีผู้ใช้งานและคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

การแสดงผลของ Reels, TikTok และ Shorts

เนื่องจากทั้ง 3 แพลตฟอร์มเป็นวิดีโอแนวตั้งเหมือนกัน ดังนั้นจุดที่มีความแตกต่างอยู่คือเรื่องของระยะเวลาที่แพลตฟอร์มรองรับ โดยฝั่ง Reels จะอัปโหลดวิดีโอได้สูงสุด 90 วินาที Shorts รองรับที่ 60 วินาที ส่วน TikTok นั้นถึงแม้ว่าจะแนะนำให้ผู้ใช้อัปโหลดวิดีโอความยาวไม่เกิน 3 นาที แต่ความยาวสูงสุดที่รองรับนั้นอยู่ที่ 10 นาที

Shorts ของยูทูบนั้นมีความเรียบง่ายมาก จึงไม่มีเอฟเฟกต์วิดีโอแบบ AR (Augmented Reality) หรือฟิลเตอร์ที่เสริมวิดีโอ รวมถึงไม่รองรับการใส่แฮชแท็กและสติ๊กเกอร์ ตรงข้ามกับ Reels และ TikTok ที่รองรับฟีเชอร์ดังกล่าว แต่ทั้ง 3 แพลตฟอร์มนั้นยังให้เครื่องมือตัดต่อวิดีโอในแพลตฟอร์มมาเหมือนกัน

การหารายได้จาก Reels, TikTok และ Shorts

ในขณะที่ข้อมูลเชิงลึกสำหรับผู้ที่ต้องการหารายได้จากทั้ง 3 แพลตฟอร์ม นั้นพบว่า กลุ่มฐานผู้ชมและจำนวนผู้ชมนั้นมีความแตกต่างกัน โดยใน Reels นั้นมีผู้ใช้รายเดือนอยู่ที่ 1,200 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 18-24 ปี ส่วนใน TikTok มียอดอยู่ที่ 2,350 ล้านคน สูงสุดเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยมีฐานผู้ใช้หลักอยู่ที่ 18-34 ปี และ Shorts อยู่ที่ 1,500 ล้านคน ในกลุ่มอายุ 18-49 ปี

โดยผู้ที่ต้องการหารายได้จาก Shorts ให้เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายนั้นยังไม่รองรับในขณะนี้ มีเพียง Reels และ TikTok ที่รองรับการซื้อขายในระบบได้ โดยเฉพาะ TikTok ที่มีการพัฒนาระบบการซื้อขายอย่างเห็นได้ชัด สอดรับกับข้อมูลโดยกูเกิล (Google) ซึ่งพบว่าประชากรระหว่างอายุ 18-24 ปี กว่าร้อยละ 40 ในสหรัฐอเมริกา เลือกใช้ TikTok หรือ Instagram ค้นหาข้อมูลแทนการใช้กูเกิล เสิร์ช (Google Search)

ที่มาข้อมูล TechCrunch, Contentmate, SocialPilot, TikTok, Social Insider