สวัสดีจ้าทุกคน...นี่ก็จะมารีวิวเรื่องท่องเที่ยวอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการรีวิวการท่องเที่ยวสายธรรม เมื่อครั้งยังยังไม่ได้ฝึกงาน และเป็นสมาชิกของชมรมกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน กำแพงแสน ประจำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เนื่องด้วยชมรมทั้งนี้ต้องขอบคุณทางกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน กำแพงแสน ที่ให้โอกาสผู้เขียนเองได้มีประสบการณ์การมาเยือนกาญจนบุรีครั้งนี้ เมื่อวันที่ 4-5 พฤษภาคม 2562 ณ วัดพุทธกาญจนมุนี หรือวัดวังปลาหมู จ.กาญจนบุรีนี่เอง ก่อนจะมาที่นี่ทุลักทุเลพอสมควร ระยะทางมาที่นี่แทบจะนับกิโลไม่ได้ เพราะเมารถง่าย เลยงีบตลอดทาง จำได้แค่ผ่านสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก จนกระทั่งแวะหาร้านของกินแถว ๆ นั้นแล้วค่อยเดินทางต่อจนผ่านทางแยกไปสุสานทหารสัมพันธมิตรเขาปูน (สุสานเขาช่องไก่) จะขนลุกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทุกคนคงจำละครเรื่อง "บุญผ่อง" ฉายทางช่องไทยพีบีเอส ที่เกี่ยวข้องกับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างดี แล้วกลิ่นอายมันยังคงอยู่ จึงขนลุกไม่น้อย อีกทั้งลมฟ้าลมฝนมาเพียบ แต่ก็ยังโชคดีที่อาจารย์ขับรถมาถึงวัดพุทธกาญจนมุนี ซึ่งเป็นวัดที่จะปฏิบัติธรรมเนสัชชิกภาวนา มาถึงที่นี่ตอนบ่ายโมงเนื่องด้วยวัดเป็นภูเขาสูง เหมือนมีกุฏิบนยอดเขา ภายในถ้ำมีรูปหลวงพ่อกิตติ (ท่านได้ชื่อนี้หรือเปล่าไม่แน่ใจ ผ่านไปเกือบจะปีนึงก็ว่าได้) ซึ่งท่านเคยปฏิบัติธรรมที่ถ้ำแห่งนี้ เมื่อเข้าไปภายในถ้ำพระ สัญญาณโทรศัพท์เริ่มเข้าไม่ถึงจนน่าฉงนใจนัก นี่เองก็ได้มาทำความสะอาดถ้ำพระ ที่นี่จะใช้ในเรื่องศีล 8 ด้วย เก็บกวาดถูพื้นก่อน จากนั้นก็อาบน้ำอาบท่าแล้วสมาทานศีล 8 พร้อม ๆ กันถัดจากองค์พระใหญ่ ตรงเบื้องหลังเดินตรง ๆ จะมีองค์พระนเรศวร องค์พญานาค บอกเลยมาตรงนี้ขนลุกมาก แต่ภายในถ้ำใหญ่จริง ๆ กว่าจะเข้ามาที่นี่ต้องได้รับการอนุญาตจากทางวัดก่อนนะคะ เพราะที่นี่ค่อนข้างห่างไกลจากผู้คน ห่างจากตัวเมืองมากนักโข จึงต้องมีการขออนุญาตให้เป็นเรื่องเป็นราว นี่เองก็มาในนามชมรม ก็เลยอนุญาตให้เข้ามาได้ ภายในวัดดูมีมนต์ขลังมาก เงียบสงบ ไร้สิ่งรบกวน อีกทั้งที่นี่เย็นมาก แต่ต้องทำใจที่นี่มียุง ดีที่หลวงพี่ท่านมีพัดลมให้พวกเรา ที่นี่เหมาะกับการนั่งวิปัสสนา ถือศีล 8 และปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง ทานพวกขบเคี้ยวไม่ได้นอกจากน้ำและเครื่องดื่มธรรมดา ขอแค่อย่างเดียว สำรวมต่อสถานที่แห่งนี้ก็พอเข้าสู่ทำวัตรเย็น แล้วก็สมาทานศีล 8 ไปสู่การเนสัชชิกภาวนา ยอมรับว่ามีแอบงีบบ้าง เพราะเนสัชชิกจะไม่นอนเลย จะอยู่ในอิริยาบถนั่ง ยืน เดิน แต่ก็มีแอบงีบบ้างเพราะยังไม่ชินเท่าไหร่ แต่ได้ความสงบใจเยอะพอสมควร มิน่าล่ะท่านถึงอยากอยู่ที่นี่มากกว่าโลกภายนอก เพราะโลกภายนอกวุ่นวายจริง ๆวันรุ่งขึ้นก็มาทำวัตรเช้า ลาศีล 8 แล้วชำระหนี้สงฆ์พร้อมค่าน้ำค่าไฟ ค่าบำรุงวัดต่าง ๆ ก่อนกลับได้มาที่โรงทาน ทางวัดเลี้ยงข้าวต้มให้ก่อนที่จะกลับ จากนั้นก็ไปหาเจ้าอาวาสและถวายสังฆทาน ได้รับพรจากหลวงพ่อแล้วก็เดินทางกลับ ด้วยความที่พี่ประธานชมรมเป็นคนพื้นที่ ก็เลยได้มาเป็นคนนำเที่ยวกาญจนบุรีเสียเลย เพราะไม่เคยได้มาเที่ยวโปรแกรมหน้าหลังเนสัชชิกภาวนาเสร็จ สถานีแรกคือต้นจามจุรียักษ์ อายุ 100 กว่าปีที่พี่ประธานชมรมแนะนำ บทความต่อจากนี้ก็จะเป็นเรื่องของต้นจามจุรียักษ์ ส่วนบทความการไปเนสัชชิกภาวนาครั้งนี้ก็คงต้องจบเพียงเท่านี้ สวัสดีจ้า :)หมายเหตุรูปทุกรูปรีวิวเอง ถ่ายเองทั้งหมด ใช้เพื่อเป็นสื่อในการเสนอบทความนี้เท่านั้น ใครจะก็อปภาพกรุณาขออนุญาตผู้เขียนก่อนนะจ๊ะ...พลีสสส