ก่อนตีระฆัง ประจันหน้า “Outsourcing" vs "Insourcing” อะไรดีกว่ากัน ควรแนะนำสังเขปของ 2 ศัพท์กันก่อน โดยขอให้ลืมความหมายทางวิชาการไป เพราะคำแปลง่าย ๆ ของ Outsourcing คือ บุคคลภายนอก ส่วน Insourcing ก็ บุคลากรภายใน แปลอีกที ก็ ฟรีแลนซ์ กับ พนักงานประจำ นั่นแหละ แล้วอะไรดีกว่ากัน ต้องเลื่อนลงมาศักยภาพที่แตกต่างระหว่าง Outsourcing และ Insourcingแท้จริงแล้ว Insourcing ควบคุมง่ายกว่า แต่ไม่ควรใช้เยอะ ส่วน Outsourcing ควบคุมยาก เพราะก็คือฟรีแลนซ์ดี ๆ นี่แหละ เจอทีมดีก็วางใจ เจอทีมงอแงก็ปวดหัว แต่ Outsourcing มีผลดีที่เป็นมืออาชีพจริง ๆ และไม่ต้องทำให้พนักงานประจำต้องเสียกำลังใจการทำงานของ Outsourcing และ InsourcingInsourcing เป็นพนักงานประจำ มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำรายวัน รายเดือนอยู่แล้ว หากต้องแยกไปทำอะไรที่มากกว่าภาระหน้าโต๊ะ ย่อมทำให้หน้าที่ขาดสมรรถภาพลง ฉะนั้นหลายบริษัทจึงใช้ Outsourcing เข้ามาจัดการให้ แม้จะเป็นหน้าที่เดียวกัน เช่น ฝ่ายประชาสัมพันธ์ PR ต้องเขียนข่าวอยู่แล้ว แต่ PR ของบริษัทต้องต้อนรับแขกเหรื่อด้วย เวลาแถลงข่าว ไหนจะรับแขก ไหนจะเขียนข่าว ย่อมไม่ทัน จึงต้องจ้าง Outsourcing มาช่วยในเรื่องเขียนข่าวประชาสัมพันธ์แทนจ้างบุคคลภายนอกมาทำงานซ้ำซ้อน ไม่เสียเงินเปล่าหรือ? ในฐานะที่ผู้เขียนรับงานฟรีแลนซ์ และเป็นทีม Outsourcing มาโดยตลอด กล้ายืนยันว่า ประหยัดกว่า งานดีกว่า คือ เมื่อจ้างบุคคลภายนอกมาทำงานให้แล้ว พนักงานภายในก็สามารถทุ่มเทพละกำลังกับงานสำคัญได้ต่อไป ตัวอย่าง “Outsourcing" vs "Insourcing”ผู้เขียนเป็นนักเขียนอิสระ รับงานบทความให้บริษัท Outsourcing หลายแห่ง จึงขอยกตัวอย่างเฉพาะด้านบทความ และฝ่าย PR แต่หลักการนี้สามารถตอบชัดว่า “Outsourcing" vs "Insourcing” ควรเลือกแบบไหนหลัก ๆ คือ บริษัท Outsourcing จะติดต่อขอรับงานจากลูกค้าซึ่งต้องการใช้สื่อสิ่งพิมพ์ประชาสัมพันธ์องค์กร กระบวนการทำสื่อสิ่งพิมพ์นอกจากเขียนแล้ว ยังมีติดต่อโรงพิมพ์ เลือกกระดาษ ตรวจอาร์ตเวิร์ก หรือศิลปกรรม ซึ่งหากโยนกระบวนการเหล่านี้ให้เจ้าหน้าที่สื่อสารองค์กร รับรองว่า วุ่นวาย ไม่พักต้องทำงานประจำของตัวเอง ส่งผลให้งานหลักไม่เต็มประสิทธิภาพงาน Outsourcing กล่าวสรุป คือ เหมาะกับงานที่ต้องเพิ่มความรับผิดชอบให้พนักงานภายใน และไม่ต้องใช้ทุกวัน เช่น งานพิมพ์หนังสือ หรือวารสารประชาสัมพันธ์ที่ทำเดือนละครั้ง หรืองานดูแลคอมพิวเตอร์ที่ต้องทำ 3 เดือนครั้ง เป็นต้นไหนบอกว่า Outsourcing คือฟรีแลนซ์ก็ฟรีแลนซ์นั่นแหละ แต่จะมีบริษัทนายหน้าคอยติดต่อรับงานแล้วส่งมอบอีกที แล้วบริษัทเหล่านี้แหละจะมาจ้างฟรีแลนซ์อีกที (มีหลายแห่งเป็นพนักงานประจำ) กล่าวโดยสรุป จะได้ประมาณว่า ฟรีแลนซ์ลูกพี่ กับ ฟรีแลนซ์ลูกน้อง แต่โดยรวมแล้ว Outsourcing คือ ผู้ที่มาทำให้งานเบาลงไม่เห็นพูดถึง Insourcing เลยจริง ๆ แล้วก็พูดถึงตลอด เพียงแต่ไม่เอ่ยนาม Insourcing คือ มีหน้าที่ดูแลป้อม อะไรที่ถ่วงความสามารถ ให้โยกไปหา Outsourcing มองเผิน ๆ อาจเป็นการจ้างงานซ้ำซ้อน แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นการเสริมศักยภาพของทีมงาน ยกตัวอย่างเช่นกรณีที่ผู้เขียนรับงานเขียนบทความให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัทหนึ่ง ไปเขียนข่าวปลูกป่าชายเลน พนักงานหลักก็ไม่ต้องมาวุ่นวายกับการสัมภาษณ์แหล่งข่าว สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือคอยถ่ายภาพ เพราะผู้เขียนจัดการให้ครบ พนักงานประจำสามารถดูแลภาพรวมได้อีกตัวอย่างทีมงานบำรุงคอมพิวเตอร์ หากจ้าง Outsourcing ให้มาดูแลรายเดือนคอมฯ จะใหม่อยู่เสมอ หากจ้างพนักงานประจำ ซึ่งแน่นอน คงจ้างได้ไม่ได้มากคน เพราะเงินเดือนสูง แต่หากจ้าง Outsourcing มีหลายราคาให้เลือก เช่น จ้างเป็นครั้ง เดือนละ 1 ครั้งย่อมถูกกว่า ส่วน Insourcing ก็จำเป็นเพราะมีไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินสรุป ใครชนะ Outsourcing vs InsourcingOutsourcing vs Insourcing สำหรับองค์กรแล้ว ต้องเสมอ เพราะควรควบคู่ไปด้วยกัน ขอให้เปรียบ Insourcing เป็นสมอง อย่านำงานจุกจิกมายัดให้ มิเช่นนั้นสมองจะทำงานไม่เต็มที่ งานไหนล้นมา ขอให้ใช้ Outsourcing เปลี่ยน VS เป็นผนวก องค์กรจะก้าวหน้า ขอบคุณภาพ pixabayภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3