นี่คงเป็นสิ่งที่เราตั้งคำถามกับตัวเองเวลาเจอเรื่องไม่ดี เรื่องที่เราจัดการกับมันไม่ค่อยได้ เพราะอยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมของตัวเอง อาจจะเพราะความไม่รู้ ประมาท ไม่รอบคอบรัดกุม แต่บางครั้งเราป้องกันรัดกุมดีแล้ว แต่เรื่องไม่ดีก็ยังเกิดขึ้นได้อีก เช่น ขับรถบนถนนพระราม 2 แล้วมีคอนกรีตร่วงหล่นใส่ สิ่งนี้อาจเป็นความเลินเล่อของทีมก่อสร้าง แต่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราเอง ทันตแพทย์สม สุจีรา จะมาไขข้อข้องใจถึงปัญหาและทางออกของเรื่องนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักทาพุทธศาสนา โดยการทำบุญด้วยทาน ศีล ภาวนา (เจริญสติ) คือหนทางพ้นกรรมที่แท้จริง ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1.ทฤษฎีไร้ระเบียบ (Chaos Theory) คือ ทฤษฎีที่คิดขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ในเรื่องที่ซับซ้อน ใจความของทฤษฎีนี้ก็คือ สรรพสิ่งในธรรมชาติที่เราคิดว่ามันยุ่งเหยิงจนมีแต่ความโกลาหล ไม่มีระเบียบสะเปะสะปะ แต่แท้จริงแล้วมันแฝงไปด้วยความเป็นระเบียบ ซึ่งถ้าเราเข้าถึงความเป็นระเบียบนั้นได้ก็สามารถคาดหมายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ เช่นเดียวกับผู้บรรลุเข้าสู่มรรคญาณจะพบว่าสภาพจิต ที่คิดว่ายุ่งเหยิงสะเปะสะปะ แท้จริงแล้วก็แฝงไปด้วยระบบระเบียบ ถ้าเข้าใจถึงองค์ประกอบนั้นก็สามารถทํานายผลแห่งวิบากกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ เพราะการย้อนกลับของผลกรรมก็คือการสะท้อน ของจิตที่มีต่อผัสสะนั่นเอง 2.มีหลายคนเข้าใจผิดว่าการดำเนินชีวิตของคนเราขึ้นอยู่กับกรรม ทั้งหมดทุกวินาที แต่ความจริงแล้วกรรมมีขอบเขตที่จํากัดในกรอบของตัวเอง บางครั้งวิถีชีวิตของเราก็เป็นไปแบบบังเอิญตามกฎของ ความน่าจะเป็นหรืออิทธิพลของทฤษฎีไร้ระเบียบด้วย โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นบางโรคก็ไม่ใช่เพราะผลของกรรม บางครั้งเป็นเรื่องของดินฟ้า อากาศ เรื่องของอาหารและพืชพรรณ หรือเป็นไปตามธรรมชาติ ตามหลักอนิจจัง เราอาจจะเหงื่อออกหน้าแดงเพราะอากาศร้อน ก็ไม่ใช่เรื่องของกรรม 3.ถ้าจะมองในมุมเดียวกัน การปาก้อนหินสักก้อนลงไปในหมู่ฝูงชนที่ชุมนุมกันอย่างเนืองแน่น แน่นอนว่าต้องโดนศีรษะใครสักคน และโอกาสในการโดนก็เป็นไปตามกฎความน่าจะเป็น ในความหมายนี้ ก็คือว่าคนที่ถูกก้อนหินปาถือว่าเป็นความซวย ไม่ใช่เพราะกรรมเก่าอะไรหรอก อย่างไรก็ตาม มีฝ่ายที่เชื่อในเรื่องกรรมออกมาให้เหตุผล ว่า ก็เพราะมีกรรมเก่าดลใจให้คนนั้นไปยืนตรงจุดนั้นพอดี และ กรรมก็ดลใจให้คนปาหินปาไปตรงนั้นด้วย ซึ่งเหตุผลนี้พิสูจน์ได้ยากทางวิทยาศาสตร์ แนวความคิดที่ว่ากรรมกำหนดชีวิตทั้งหมดเป็นแนวความคิดของศาสนาเชน ไม่ใช่ศาสนาพุทธ 4.ชีวิตเราเราคือผู้ลิขิต เพียงแต่มีพลังของกรรมเก่าคอยบังคับฉุดดึงให้มีวิถีชีวิตเป็นไปตามที่เจ้ากรรมนายเวรต้องการ กรรมเก่า ไม่สามารถลบล้างได้ด้วยการสารภาพบาป นั่นเป็นเพียงกุศโลบาย ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นเท่านั้น เป็นการเปลี่ยนเวทนาในทางลบให้กลับเป็นบวก แต่กิเลส ตัณหา อุปาทานยังคงเดิม จึงกําจัดกรรมไม่ได้ วิถีทางเดียวที่ทำได้ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบแล้ว นั่นก็คือการ ทำความเข้าใจกับกฎแห่งอิทัปปัจจยตาหรือปฏิจจสมุปบาท ซึ่งถือว่า เป็นกฎแห่งกรรม เป็นกฎแห่งธรรมชาติ และเป็นกฎที่สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา 5.อย่างไรก็ตาม เมื่อบรรลุญาณจะรู้ว่าเหตุการณ์ในแต่ละชาติ ไม่จำเป็นต้องเป็นผลมาจากชาติที่แล้ว อาจจะเป็นชาติก่อนหน้านั้น หลายๆชาติก็ได้ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุมาจากวันนี้ อาจเป็นเมื่อวานซืนหรือสิบวันร้อยวัน ที่แล้วก็ได้ ดังนั้นกรรมเก่าที่รอตามเอาคืนมีมากมายมหาศาล เมื่อรู้เช่นนี้จึงต้องการหลุดพ้นจากวังวนแห่งสังสารวัฏ ซึ่งการจะอธิบายเรื่องวันนี้พรุ่งนี้ให้เข้าใจได้ต้องรู้ถึงวงจรการหมุนของโลกฉันใด การอธิบายเรื่องภพชาติให้เข้าใจได้ก็ต้องรู้ถึงวงจรการหมุนแห่งปฏิจจสมุปบาทฉันนั้น จะต่างกันก็แต่การหมุนในทางนาม ไม่สามารถทำความเข้าใจด้วยสมองได้ ต้องหยั่งรู้ด้วยกําลังสติเท่านั้น 6.การให้อภัยเป็นวิธีตัดกรรมที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งของทั้งในทางจิตวิทยา และทางพุทธศาสนา การให้อภัยไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผู้กระทำพ้นจากกฎแห่งกรรม แต่เป็นการดึงหอกแหลมที่แทงใจออกไป เพื่อให้ แผลใจมีการหายสมานกลับมาดีดังเดิม การไม่รู้จักให้อภัยสามารถ ทำให้เกิดวิบากกรรมถึงขนาดข้ามภพข้ามชาติเลยทีเดียว 7.กรรมเก่าที่ได้เคยกระทำไว้ในอดีตกาลจะสนองคืนในสองรูปแบบ คือ ส่งผลในรูปของภพภูมิที่ไปเกิดและส่งผลภายหลังการเกิด คือระหว่างดำรงชีวิต ผลของกรรมที่สนองคืนในขณะเกิดทำให้ชีวิต ถือกำเนิดขึ้นในรูป ภพ และสังคมที่แตกต่างกัน ผลของกรรมจะแสดงให้เห็นได้ชัดในเชิงรูปธรรม เช่น รูปร่างหน้าตา เพศ เผ่าพันธุ์ สภาพครอบครัว ฐานะความเป็นอยู่ แต่ “ผลของวิบากกรรม” ที่สนองให้เห็นจะลึกลับและซับซ้อนกว่าหลายเท่า ผลของกรรมอาจทำให้ คนสองคนเหมือนกันทุกประการ เช่น ฝาแฝดแท้ ทั้งสองชีวิตมีจุด เริ่มต้นเหมือนกัน เกิดในเวลาใกล้เคียงกัน มียืนและทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกันทุกประการ แต่ที่ต่างกันก็คือ “วิบากกรรม” ของทั้งสองชีวิต จิตสองดวงมีผลแห่งวิบากไม่เหมือนกัน ย่อมทำให้วิถีชีวิตของทั้งสองแตกต่างกัน แม้ว่าฝาแฝดนั้นจะอยู่ติดกันไปตลอดชีวิต 8.การจะวิเคราะห์ดูว่าเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดกับเราในชาตินี้เป็นกรรมใหม่หรือว่าเป็นกรรมเก่าของเราที่จะต้องชดใช้ เพราะไปเคยทำแบบนี้ไว้แล้วถูกตามเอาคืน ให้ดูที่ความรู้สึก เพราะถ้าเป็นกรรมเก่าวิบากกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรภายนอกกับความรู้สึกที่ผุดจากกรรมเก่าในจิตใต้สำนึกจะทำงานสอดคล้องประสานกัน เปรียบได้กับตัวเริ่มต้นและตัวกระตุ้นที่กล่าวถึงนั่นเอง แต่ไม่ใช่ในเรื่องรูปธรรม เพราะวิบากกรรมจะทำงานในเชิงนามธรรม เป็นเรื่องของความรู้สึก ถ้าเป็นกรรมใหม่จะไม่มีเรื่องของความรู้สึกภายใน ซึ่งเป็นอิทธิพลจากกรรมเก่าที่ฝังตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกโหมน้าวให้เรามีความรู้สึกต่อสิ่งเร้าภายนอกในทิศทางเดียวกับที่เจ้ากรรมนายเวรต้องการให้เป็น 9.ในการทำบุญ พลังแห่งบุญก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกเช่นกัน การทำบุญเพียง 10 บาทด้วยความรู้สึกศรัทธาเต็มเปี่ยม กับการทำบุญ 1,000 บาทด้วยความรู้สึกศรัทธาเท่ากัน ผลของบุญที่ได้จะเท่ากัน แต่ทั้งนี้ต้องแยกระหว่างเรื่องความคิดกับความรู้สึกออกจากกัน เราใช้ความคิดโกหกตัวเองได้ แต่เราไม่สามารถโกหกความรู้สึกของตัวเองได้ เศรษฐีร้อยล้านทำบุญสิบบาทแล้วบอกว่าศรัทธาเต็มเปี่ยมย่อมเป็นไปไม่ได้ พลังแห่งบุญวัดกันด้วยปฏิกิริยาทางใจ ไม่ใช่ทางกายและเรื่องความรู้สึกทางใจเป็นเรื่องที่รู้เฉพาะตน 10.สำหรับใครที่เกิดมาในชาตินี้หาเพื่อนดีๆ ไม่ค่อยได้ ขอให้ระลึกไว้ว่าชาติก่อนเราใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงของคนไม่ดี เวทนาที่เราได้มาและบันทึกอยู่ในจิตเป็นกรรมที่ไม่ดี เป็นผลให้วิถีชีวิตของเราในชาตินี้จึงถูกลิขิตชักนำให้มาพบพานคนพวกนี้อีก การเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ดีหรือได้อยู่ในสังคมที่ไม่ดีไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นเรื่องของกรรม เราย้อนอดีตไม่ได้ แต่เราสามารถสร้างกรรมใหม่ที่ดีได้เพื่อยกระดับตัวเองให้พ้นจากสภาพนั้นในอนาคต 11.การเกิดใหม่จะลบล้างความทรงจำทั้งหมดไป เพราะความทรงจำทางโลกียะธรรมชาติถือว่าเป็นขยะ ถูกเก็บไว้ที่หน่วยความจำของสมอง เมื่อตายสมองเน่า ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปหมด จะเหลืออยู่ก็เพียงแต่ข้อมูลแห่งเวทนาที่เก็บไว้ในภวังคจิต ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดมาเราก็จำอะไรในอดีตไม่ได้ แต่ตลอดชีวิตของเรามีเรื่องราวแปลกๆ เกิดขึ้นมาโดยตลอด เพราะเรื่องราวแปลกๆ หรือเรื่องคาดไม่ถึงที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากกรรมเก่าที่เราสร้างไว้ แต่ลืมไปหมดแล้วว่าเพราะอะไร 12.เมื่อเกิดความรู้สึกคือเป็นเรื่องภายในตัวของเราเอง อย่ามองว่าเป็นเรื่องภายนอก เราอาจจะเกิดความรัก เกิดความรู้สึกชอบใครสักคน ซึ่งใครคนนั้นอาจไม่รับรู้อะไรด้วย แต่ความรัก ความรู้สึกชอบเป็นกรรมของเราเอง เราจะแก้ปัญหานั้นอย่างไรเป็นเรื่องของเรา และถ้าใครคนนั้นไม่สนองตอบ ไม่สนใจด้วย เราจะทำอย่างไร 13.ความรู้สึกผิดหวัง อกหัก ทำให้รู้สึกเครียด รู้สึกโกรธหรือไม่ และจะแก้ปัญหาอย่างไร จะแก้ปัญหาด้วยการทำร้ายคนที่ทำให้เราเครียด โกรธ หรือจะยอมรับว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของเรา เรา ต้องรับผิดชอบเอง ถ้าเราตัดความรู้สึก รู้เท่าทันความรู้สึก กรรมจะหมด แต่ถ้าไม่ ความทุกข์ทรมานจากตัณหา อุปาทานก็จะเกิดขึ้น บางคนคลุ้มคลั่งถึงขนาดลักพาตัวฉุดคร่าคนที่หมายปอง บางคนทำร้ายตัวเอง บางคนทำแม้กระทั่งฆ่าตัวตายหรือฆ่าคนที่หมายปอง ทั้งหลายเหล่านี้จะเกิดขึ้นแบบใด ก็สุดแต่กรรมในจิตไร้สำนึกของแต่ละคนที่จะดลบันดาลให้เกิดเวทนาอารมณ์ความรู้สึกรุนแรงขนาดไหน เครดิตภาพ ภาพปก โดย Pixabay จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย The Daphne Lens จาก pexels.com ภาพที่ 4 โดย Prasanth Inturi จาก pexels.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ รู้ทันสันดานคน โดยทันตแพทย์สม สุจีรา รีวิวหนังสือ มิติที่ห้า โดยทันตแพทย์สม สุจีรา รีวิวหนังสือ ศาสนาแห่งจักรวาล โดย ทันตแพทย์สม สุจีรา เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !