กฎของการใช้ชีวิต กฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์ จิตวิทยาการพัฒนาตัวเองการใช้ชีวิตจริงๆ ไม่ได้ยาก แต่ที่บางคนบอกว่ายากผู้เขียนมองว่าอาจเป็นเพราะว่าคนๆ นั้นไม่รู้หรือไม่เข้าใจหลักหรือกฎในการใช้ชีวิต ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้เขียนก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์นั้นมาก่อนเหมือนกันค่ะ แต่หลังจากเรียนรู้มากขึ้นจึงเปลี่ยนมุมมองใหม่ค่ะ ซึ่งถ้าจะพูดว่าในขณะที่เราใช้ชีวิตไปในแต่ละวันนั้นมีกฎต่างๆ เกิดขึ้นและทำงานอยู่ตลอดเวลาทั้งที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว ปกติหากเราไม่ได้เพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาการพัฒนาตัวเองในการใช้ชีวิตอาจฟังดูแปลกๆ ถ้าจะพูดว่า มีกฎที่เรียกว่า กฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์ และถ้าอ่านแค่ชื่อหลายคนอาจนึกภาพถึงการทำสวนการเกษตรการปลูกพืช แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยค่ะ กฎนี้ไม่ได้เกี่ยวกับทำสวนค่ะแต่เป็นการเปรียบเทียบเฉยๆ เพื่อให้มองเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นเท่านั้นค่ะ ส่วนกฎแก่งการเพาะเมล็ดพันธุ์คืออะไร ในบทความนี้มีคำตอบแบบละเอียดค่ะ ทั้งรายละเอียดว่าจะใช้กฎนี้ยังไงและตัวอย่างจากการประยุกต์ใช้กฎนี้ของผู้เขียนเองค่ะ ซึ่งกฎนี้ไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์นะคะ แต่กฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์เกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองในการมีชีวิตให้ดีขึ้นค่ะ กฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์ คือ กฎที่คนที่สนใจเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองนำมาใช้เพื่อทำให้ตัวเองพัฒนาขึ้นในทางบวก ให้ก้าวหน้าขึ้น ดีขึ้น มั่งคั่งเหลือเฟือขึ้น เก่งขึ้นและอื่นๆ อีกในทำนองนี้ค่ะ โดยเริ่มต้นจากการมีความคิดในเรื่องหนึ่งเรื่องหนึ่งก่อน ที่เป็นเรื่องที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นค่ะ เช่น ความคิดอยากพัฒนาทักษะบางอย่างที่ต้องมีในศตวรรษที่ 21 นี้ ความคิดอยากก้าวหน้าเรื่องการงาน ความคิดอยากมีสุขภาพดีขึ้น ความคิดอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ความคิดอยากเป็นคนที่ดีขึ้นมีนิสัยที่ดีขึ้น ความคิดอยากมีที่ดินทำกินของตัวเอง ความคิดอยากมีเสื้อผ้าสวยๆ ความคิดอยากพัฒนาตัวเองให้มีทักษะการขาย ความคิดอยากมีนิสัยเป็นคนคิดบวก ความคิดอยากเป็นคนรักการอ่าน ความคิดอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ความคิดอยากผอมลงหุ่นดีขึ้น ความคิดอยากมีผมสวยเงางามขึ้น ความคิดอยากมีสวนดอกไม้สวยๆ ที่บ้าน ความคิดอยากเรียนต่อในสาขาที่สนใจ ความคิดอยากซื้อคอร์สออนไลน์ ความคิดอยากทำเฟสบุ๊กเพจ ฯลฯ โดยทุกๆ ความคิดเราจะมองว่าคือเมล็ดพันธุ์หนึ่งเมล็ดพันธุ์ค่ะ พูดง่ายๆ คือ เมล็ดพันธุ์ทางความคิดของคนๆ หนึ่งนั่นเองกฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์ทำงานก็ต่อเมื่อคนๆ หนึ่งมีไอเดียหรือมีแนวคิดหนึ่งผุดขึ้นมาค่ะ ไม่ว่าจะทางบวกหรือทางลบ โดยคนๆ หนึ่งสามารถเพาะเมล็ดพันธุ์ทางความคิดนี้ได้หลายเมล็ดพันธุ์ไปในเวลาเดียวกัน โดยไม่ต้องรอให้เป้าหมายหนึ่งสำเร็จก่อนแล้วค่อยเพาะเมล็ดพันธุ์ใหม่ หมายความว่า เราไม่ต้องรอให้เมล็ดข้าวโพดเกิดก่อนแล้วค่อยเพาะเมล็ดพันธุ์ของพริก ให้ลองนึกถึงป่าที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ชนิดต่างๆ ค่ะ ที่สามารถเกิดในทิศทางของตัวเองและมีชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างอุดมสมบูรณ์ โดยเมล็ดพืชแต่ละชนิดก็ไม่ได้รอให้อีกชนิดเกิดหรือตายไปก่อน แต่พืชทุกๆ ชนิดมีเส้นทางในการเจริญเติบโตของตัวเอง ที่ผู้เขียนบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องรอให้ทำเป้าหมายหนึ่งสำเร็จก่อนแล้วค่อยทำอีกเป้าหมายหนึ่ง เป็นเพราะทุกๆ เป้าหมายกว่าจะสำเร็จมีเรื่องของเวลาที่ต้องใช้มาเกี่ยวข้องค่ะ ที่ไม่ต่างกับเมล็ดพันธุ์แต่ละชนิดที่เราหว่านลงไปในดินต่างก็มีเวลาในการเจริญเติบโตที่ต่างกันออกไป เราจึงไม่ต้องรอแต่ให้ปลูกทุกชนิดพร้อมกันไปเลยค่ะและกฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์ยังเกี่ยวกับว่า เราหว่านอะไรลงไปเราจะได้เก็บเกี่ยวอันนั้น เรามีความคิดเรื่องไหนเราก็จะได้ผลลัพธ์นั้นโดยไม่มีข้อยกเว้นถึงแม้ว่าเราจะมีความในทางลบค่ะ และทุกๆ ความคิดผลลัพธ์เที่ยงตรงเสมอ เหมือนเมล็ดพันธุ์แต่ละชนิดหากหว่านพืชชนิดไหนก็จะได้พืชชนิดนั้น เช่น หว่านเมล็ดข้าวโพดก็ต้องได้ข้าวโพด โอกาสที่หว่านเมล็ดข้าวโพดแล้วจะได้พริกเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ ในทำนองเดียวกันกับเราหากมีความคิดในทางบวกผลลัพธ์ที่ได้ก็ต้องเป็นผลลัพธ์ในทางบวกเสมอ หากมีความคิดอยากเก่งขึ้นดีขึ้นผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการเก่งขึ้นดีขึ้น เพียงแค่ว่าจะใช้เวลาเร็วหรือช้ากว่าจะเก่งขึ้นดีขึ้นก็แค่นั้นเองค่ะ กฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์ทุกคนสามารถใช้ได้ และตอนนี้ทุกคนกำลังใช้กฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์อยู่ เพียงแค่ว่าบางคนไม่รู้ว่าเขากำลังหว่านเมล็ดพันธุ์ทางความคิดอยู่ และหลายๆ ครั้งที่คนๆ หนึ่งบ่นว่าชีวิตยากเป็นเพราะเขาหว่านเมล็ดพันธุ์ในทางลบค่ะ อารมณ์มีผลต่อเมล็ดพันธุ์ทางความคิด อารมณ์บวกจะมีเมล็ดพันธุ์ความคิดในทางบวก อารมณ์ลบก็จะมีเมล็ดพันธุ์ทางความคิดที่เป็นลบค่ะการประยุกต์ใช้กฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์ในชีวิตประจำวันทำได้ง่ายๆ คือ หากอยากพัฒนาตัวเองไปในทิศทางไหนก็ให้หว่านเมล็ดพันธุ์ทางความคิดในเรื่องนั้นๆ ไปเลยค่ะ แบบหว่านไปพร้อมๆ กัน แบบไม่ต้องรอ ในระหว่างนั้นก็ให้ใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน กำจัดศัตรูพืชและอื่นๆ ที่เป็นการลงมือทำจนได้เก็บเกี่ยวผลผลิตค่ะ โดยหลังจากที่ผู้เขียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับกฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์มาก็ได้นำมาใช้กับการใช้ชีวิตของตัวเอง โดยหว่านเมล็ดพันธุ์ทางความคิดหลายอย่างไปพร้อมกันค่ะ เช่น ความคิดอยากพัฒนาภาษาอังกฤษ ความคิดอยากมีสุขภาพดี ความคิดอยากเป็นคนรักการอ่าน ความคิดอยากมีสวนผักภายในบ้าน เป็นต้น หลังจากมีเมล็ดพันธุ์ทางความคิดเหล่านั้นทำให้ผู้เขียนได้ลงมือทำบางสิ่งบางอย่างที่สอดคล้องกับเมล็ดพันธุ์ดังกล่าว และพบว่าสิ่งเหล่านั้นปรากฎขึ้นในชีวิตค่ะ โดยตอนนี้มีสวนผักหน้าบ้านเรียบร้อยแล้วค่ะ อ่านหนังสือทุกวัน เรียนรู้ภาษาอังกฤษทุกวันและหันมาดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้นค่ะ ถ้าจะพูดให้เห็นภาพคือ อะไรที่เราคิดได้เราก็มีมันได้ค่ะ ความคิดหนึ่งกลายเป็นเป้าหมายหนึ่งในทันที และช่วยทำให้เราไม่หลงทาง เพราะพอเรามีความคิดหนึ่งแล้วเราจะคิดต่อว่าต้องทำอะไร ขั้นตอนที่ 2 คืออะไร จนความคิดนั้นออกมาเป็นรูปเป็นร่างและเราก็เรียกสิ่งนั้นว่า ความสำเร็จค่ะพอเราปรับใช้กฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์ทำให้เราใช้ชีวิตมีเป้าหมายมากขึ้น มีแรงผลักดันจากภายใน ทำให้ชีวิตมีความหวัง ตัวเราได้ออกจากจุดสบาย และเก่งขึ้น ดีขึ้น ก้าวหน้าขึ้น พัฒนาขึ้นค่ะ และการใช้กฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์ไม่มีขีดจำกัด นั่นหมายความว่าเรามีหน้าที่คิดว่าอยากได้อะไรในระหว่างใช้ชีวิตไปนั่นเอง หลายคนที่ยังไม่รู้เกี่ยวกับกฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์มักพูดว่าเขาไม่มีเป้าหมายไม่รู้จะทำอะไร ทั้งๆ ที่แค่มีเมล็ดพันธุ์ของความคิดเท่านั้นชีวิตก็มีเป้าหมายแล้ว และกฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์นี้ไม่มีกฎตายตัวขอเพียงเมล็ดพันธุ์ความคิดนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการมันจริงๆ ก็พอแล้วค่ะ ยังไงลองอ่านทำความเข้าใจอีกสักรอบและนำไปปรับใช้ค่ะ อย่าไปกังวลเรื่องเวลาเพราะทุกๆ เมล็ดพันธุ์ของความคิดมีเวลาของมันเองที่จะเติบโตขึ้น เรามีหน้าที่หว่านเมล็ดพันธ์ุทางความคิด ลงมือทำและรอเก็บเกี่ยวเท่านั้นเองค่ะ และอย่ากลัวที่หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปค่ะ ซึ่งคนส่วนใหญ่พลาด! แค่คิดก็ยังไม่กล้า เพราะเขามองไม่เห็นเลยว่าผลลัพธ์ในชีวิตที่เขาต้องการจะมาได้ยังไง จึงทำให้ไม่เคยประยุกต์ใช้กฎแห่งการเพาะเมล็ดพันธุ์เครดิตภาพประกอบบทความภาพหน้าปก โดย Akil Mazumder จาก Pexelsออกแบบภาพหน้าปกใน Canvaภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1 โดย Julian Jagtenberg จาก Pexels, ภาพที่ 2 โดย Gary Barnes จาก Pexels, ภาพที่ 3 โดย David Boozer จาก Pexels, ภาพที่ 4 โดย Oleksandr Pidvalnyi จาก Pexelsบทความอื่นที่น่าสนใจพลังจิตใต้สำนึก ขุมพลังที่สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ได้ แนวคิด Dr. Joe DispenzaGrowth Mindset กรอบแนวคิดที่ทำให้ชีวิตพัฒนาไปในทางบวกทำไมคุณต้องเชื่อก่อนที่จะได้เห็นกับตา หากอยากถูกหวยหรือโชคดีเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !