(ภาพจาก imdb.com)บูเช็คเทียน จักรพรรดิหญิงแห่งแผ่นดินใหญ่ในสังคมจีนยุคโบราณนั้นจะแบ่งแยกหน้าที่ชายหญิงอย่างชัดเจน ผู้ชายนั้นจะมีอิสระทางความคิดและการวางตัวมากกว่าเพราะผู้หญิงจะถูกวางหน้าที่ไว้อย่างชัดเจนว่าต้องดูแลเรื่องภายในบ้านเป็นผู้ตามมากว่าผู้นำไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆ ต่างจากหญิงผู้หนึ่งที่มีทั้งความสามารถ ความเฉลียวฉลาด อีกทั้งความเด็ดเดี่ยว ทำให้ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์มังกรและอยู่ในบันทึกว่าเป็นฮ่องเต้หญิงคนแรกและคนเดียวของจีนจากวันนั้นจนถึงวันนี้ “บูเช็คเทียน”(ภาพจาก NineEntertain/Facebook Fanpage)พระนางบูเช็คเทียนกำเนิดในตระกูลพ่อค้าที่ค่อนข้างจะมีฐานะพอสมควร พระนางมีชื่อเดิมว่าอู่เจ้า ครั้งหนึ่งบิดาของพระนางได้ทรงให้ที่พำนักกับแม่ทัพใหญ่หลี่เอียนในขณะที่แม่ทัพหลีเอียนมาทำศึกปราบกบฏทำให้บิดาของพระนางและแม่ทัพหลี่เอียนเป็นสหายกันมาตั้งแต่บัดนั้น และเมื่อแม่ทัพหลี่เอียนทำการยึดอำนาจจากราชวงศ์สุยโดยมีบิดาของอู่เจ้าหรือพระนางบูเช็คเทียนเป็นผู้สนับสนุนหลักคนหนึ่ง ทำให้แม่ทัพหลี่เอียนเข้ายึดอำนาจสำเร็จแล้วสถาปนาราชวงศืของตัวเองขึ้นเป็นราชวงศ์ถัง ต่อมาบิดาของพระนางก็ได้รับความดีความชอบเป็นอย่างมากในการสนับสนุนในครั้งนี้ทำให้กลายเป็นผู้บัญชาการดูแลเขตปกครองภายนอก เมื่ออู่เจ้าหรือพระนางบูเช็คเทียนนั้นเติบโตพระนางก็ได้รับการศึกษาอย่างดี นั้นทำให้พระนางเป็นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด แต่เมื่อพระนางยังเยาว์วัยนั้นเล่ากันว่ามารดาของพระนางมักจับพระนางแต่งตัวเป็นผู้ชาย จนกระทั่งโหรหลวงได้มาเจอพระนางและได้ทำนายดวงชะตาพระนางว่าหากพระนางเป็นหญิงจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในแผ่นดินแน่นอน หลังจากนั้นโลกก็ได้รู้จักสตรีชื่อก้องโลกนาม “บูเช็คเทียน”หลังจากฮ่องเต้เกาจู่หรือประถมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ถังสวรรคตนั้นหลี่ซื่อหมิน พระโอรสก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้คนต่อมาในนาม ถังไท่จง ในส่วนของอู่เจ้าหรือพระนางบูเช็คเทียนตอนนี้พระนางอายุได้เพียง 13-14 ปี เป็นสาวแรกแย้มที่มีความงามเป็นอย่างมากความงามของพระนางนั้นเลื่องลือกันไปไกลถึงกระทั่งความงามนั้นมาเข้าหูของฮ่องเต้ถังไท่จง พระองค์จึงทรงให้พระนางเข้ามาถวายตัวในวัง ครั้งนั้นทำให้มารดาของพระนางบูเช็คเทียนร้องไห้เป็นอย่างมากเมื่อลูกสาวต้องเข้าไปถวายตัวในวัง พระนางจึงได้ตำหนิมารดาของตอนไปว่า นี้จะเป็นหนทางสู่ความก้าวหน้าของพระนางมารดาท่านจนอย่าได้ร้องไห้เสียใจ จะเห็นได้ว่าพระนางนั้นมีความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย(ภาพจาก Ra Ma/Unsplash)เมื่อเข้าถวายตัวนั้นอู่เจ้าหรือพระนางบูเช็คเทียนนั้นก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบูเหม่ยเหนียงแต่เมื่อนางเข้าถวายตัวกับฮ่องเต้ถังไท่จงแล้วนั้นทุกอย่างกลับไม่เป็นในแบบที่นางคิดไว้ นั้นก็คือถึงแม้พระนางจะมีความงามเป็นเลิศแต่กลับไม่ได้เป็นสนมคนโปรดของพระเจ้าถังไท่จง ว่ากันว่าเหตุที่พระนางไม่ได้เป็นสนมคนโปรดนั้นมาจากสองสาเหตุ สาเหตุแรกนั้นกล่าวว่าโหรหลวงทำนายว่าราชวงศ์ถังจะล้มด้วยสตรีแซ่อู่ ซึ่งชื่อบูเหม่ยเหนียงของพระนางนั้นภาษาจีนกลางออกเสียงเป็น อู่เจ๋อเทียน หรือบูเช็คเทียน นั้นทำให้พระเจ้าถังไท่จงไม่นิยมในตัวนางนัก ประการที่สองนั้นเพราะพระนางเคยเสนอตัวไปปราบม้าพยศของพระเจ้าถังไท่จง พระนางได้อธิบายวิธีการของนางว่าพระนางจะทูลขอสามสิ่งในการใช้ปราบพยศม้าตัวนี้ได้แก่ แส้เหล็ก ค้อนเหล็ก และดาบเหล็ก วิธีการของนางนั้นจะใช้แส้เหล็กตีม้าตัวนั้นเพื่อให้มันฟังหากมันยังไม่ฟังพระนางจะใช้ค้อนเหล็กทุบหัวมัน ถ้ามันยังไม่ยอมฟังอีกพระนางจะใช้ดาบเหล็กนั้นสังหารมันซะ นั้นไม่ได้ทำให้พระเจ้าถังไท่จงพอใจแต่ยิ่งตอกย้ำความคลางแคลงใจในตัวพระนางเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย เมื่อคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างพระนางไม่ได้เป็นที่โปรดปรานพระนางจึงต้องอดกลั้นและมองหาวิธีอยู่เสมอแต่ด้วยพระเจ้าถังไท่จงเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความฉลาดและเก่งรอบด้านพระนางจึงทำได้แค่เพียงอดทนรอเวลา แต่ถึงแม้พระเจ้าถังไท่จงจะไม่ได้หลงใหลในตัวนางกลับมีอีกคนที่หลงใหลในตัวพระนางเป็นอย่างมาก นั้นก็คือพระโอรสหลี่จื้อ องค์รัชทายาท แต่ด้วยความที่พระนางเป็นสนมของพระบิดาตน องรัชทายาทก็ได้เเต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ (แต่บางที่มาก็บอกว่าพระนางทรงลอบมีสัมพันธ์สวาทกับองค์รัชทายาทอยู่ก่อนแล้ว)เมื่อเวลาผ่านไปพระเจ้าถังไท่จงได้ทรงสวรรคตลงองค์รัชทายาทก็ได้ขึ้นครองราชย์แทนและทรงมีพระนามว่า ถังเกาจงตามธรรมเนียมจีนโบราณแล้วหากพระสนมองค์ไหนไม่มีบุตรชายหรือธิดาก็ให้ทรงไปบวชเป็นชี นั้นทำให้พระนางบูเหม่ยเหนียงได้ไปบวชเป็นชี เวลาผ่านไปสองปีพระเจ้าถังเกาจงได้มาไหว้หลุมพระศพของพระเจ้าถังไท่จงทำให้พระองค์และบูเหม่ยเหนียงได้มาเจอกันอีกครั้ง ทำให้ความปรารถนาในตัวของบูเหม่ยเหนียงที่เคยมีในครั้งก่อนกลับมาอีกครั้ง หลังจากลับมาจากการไหว้พระศพของพระเจ้าถังไท่จงนั้นพระองค์ก็ทรงคิดถึงแต่บูเหม่ยเหนียง พระมเหสีหวางทรงเห็นว่าพระสวามีของตนนั้นทรงคิดถึงแต่บูเหม่ยเหนียงจึงได้ทำการสนับสนุนให้ไปรับบูเหม่ยเหนียงเข้ามาเป็นสนมในวัง นั้นยิ่งทำให้พระเจ้าถังเกาจงรู้สึกดีใจเมื่อได้รับการสนับสนุนจากพระมเหสีของตน แต่เหตุที่พระมเหสีหวางได้ทำการสนับสนุนพระเจ้าถังเกาจงนั้นไม่ใช่ว่าความใจกว้างของพระนางหรือความที่พระนางรักพระสวามีแต่อย่างใดแต่ที่พระนางสนับสนุนให้ไปรับบูเหม่ยเหนียงมาเป็นสนมนั้นเป็นเพราะพระนางรู้ว่าพระเจ้าถังเกาจงนั้นหลงใหลในตัวบูเหม่ยเหนียงเป็นอย่างมากจึงจะให้นางมาคานอำนาจของสนมแซ่เซียงที่กำลังเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าถังเกาจงในตอนนี้ ซึ่งสนมเซียงนั้นเป็นที่โปรดปรานแถมยังมีโอรสให้พระเจ้าถังเกาจงอีกด้วย ทำให้พระมเหสีหวางที่ยังไม่มีทายาทนั้นไม่ค่อยพอใจจึงได้ทำการสนับสนุนบูเหม่ยเหนียงในครั้งนี้ พระเจ้าถังเกาจงได้ทำการนำบูเหม่ยเหนียงเข้ามาในวังและแต่งตั้งเป็นพระสนมเอกทันที การกระทำของพระองค์ในครั้งนี้ทำให้ข้าราชสำนักภายในวังอึ้งและพูดอะไรไม่ได้กันทั้งแถบนั้นเพราะพระองค์ทรงไปสึกชีมาเป็นสนมแถมชีคนนั้นยังเคยเป็นสนมของพระบิดา สิ่งที่พระองค์ทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิดจารีตประเพณีเป็นอย่างมาก ไม่ต่างอะไรกับการมีสัมพันธ์กับคนในครอบครัว(ภาพจาก PPCTV/Facebook Fanpage)เมื่อบูเหม่ยเหนียงกลับเข้ามาวังอีกครั้งนางจึงคิดหาวิธีที่จะทำให้นางไม่ต้องตกอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีกแล้ว นางจึงเดินหน้าเพื่อสร้างอำนาจของตนเองโดยการเริ่มตีสนิทกับพระมเหสีหวางและค่อยเขี่ยพระสนมที่เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าถังเกาจงไปทีละคนสองคน ราวกับฟ้ากำหนดให้บูเหม่ยเหนียงเป็นใหญ่ไม่นานพระนางก็ให้กำเนิดโอรสองค์แรกกับพระเจ้าถังเกาจงอีกไม่นานก็ได้ให้กำเนิดพระธิดาแต่ด้วยความที่พระนางมักใหญ่ใฝ่สูงนั้นผู้ที่มีอำนาจเหนือนางตอนนี้ถ้าไม่นับพระเจ้าถังเกาจงแล้วก็มีเพียงพระมเหสีหวางเพียงคนเดียว นางจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่คนทั่วไปไม่กล้านั้นก็คือสังหารลูกตัวเองแล้วโยนความผิดให้พระมเหสีหวาง โดยอาศัยช่องที่พระมเหสีหวางไม่มีโอรสหรือธิดาแต่พระมเหสีหางนั้นเป็นคนที่รักเด็กมาก เมื่อพระนางกลับจากมาเยี่ยมพระธิดาองน้อยของบูเหม่ยเหนียง บูเหม่ยเหนียงก็ได้ทำการสังหารลูกตัวเองแล้วไปฟ้องพระเจ้าถังเกาจงว่าพระมเหสีหวางฆ่าลูกของพระนางโดยกล่าวหาว่าพระมเหสีหวางทำคุณไสยใส่พระเจ้าถังเกาจงและตัวเอง ด้วยความที่พระเจ้าถังเกาจงไม่ได้มีพระปรีชาและสามารถได้ถึงครึ่งของพระเจ้าถังไท่จงผู้เป็นบิดา อีกทั้งยังคงหลงใหลในตัวของบูเหม่ยเหนียงเป็นอย่างมากในขณะนี้ ได้ตัดสินพระทัยสั่งปลดพระมเหสีหวางและแต่งตั้งบูเหม่ยเหนียงขึ้นเป็นพระมเหสีแทนทันทีโดยไม่สนหน้าใครทั้งนั้นแม้เหล่าอำมาตย์ทั้งหลายจะคัดค้านอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนพระทัยพระองค์ได้เมื่อขึ้นเป็นพระมเหสีแล้วพระนางก็กลัวว่าวันหนึ่งพระเจ้าถังเกาจงจะใจอ่อนปล่อยอดีตพระมเหสีหวางและอดีตสนมเซียงมาจากคุกนางจึงตัดสินใจใช้อำนาจที่นางมีสั่งประหารทั้งสองทันที หลังจากนั้นนางจึงเริ่มเข้าแทรกแทรงการปกครองบ้านเมืองจนทำให้เหล่าขุนนางใหญ่ทั้งหลายไม่พอใจพระนางเป็นอย่างมาก จึงได้ทูลไปยังพระเจ้าถังเกาจงแต่พระองค์ไม่ทรงสนอะไรกับการทูลเรื่องราวทั้งหมดจากเหล่าขุนนางเลย นั้นอาจเป็นเพราะเหตุผลสามประการ 1 เพราะพระนางเป็นคนฉลาดรอบรู้ในการบริหารบ้านเมือง 2 พระองค์ทรงมีพลานามัยที่ไม่แข็งเเรงเลยไม่ค่อยสนใจกิจการบ้านเมืองนัก 3 เมื่อเกิดเหตุภัยธรรมชาติครั้งหนึ่งเกือบทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์มีเพียงบูเหม่ยเหนียงที่เข้ามาช่วยพระองค์ต่างจากขุนนางเหล่านั้นที่หลีเอาตัวรอดเพราะความตกใจ หลังจากนั้นพระนางบูเหม่ยเหนียงก็ได้ออกเดินหน้ากำจัดขุนนางที่คัดค้านพระนางไปทีละคนสองคนทั้งประหารและเนรเทศไปอยู่ชายแดนทำให้ขุนนางที่เหลือไม่กล้าที่จะกระด้างกระเดื่องกับพระนางอีกถึงแม้นิสัยส่วนตัวของพระนางบูเหม่ยเหนียงหรือบูเช็คเทียนนั้นจะเป็นคนที่ทะเยอทะยานแต่พระนางก็ทรงมีความเฉลียวฉลาดและมีแนวคิดใหม่ๆเสมอ พระองค์ทรงให้เปลี่ยนรรูปแบบการคัดเลือกขุนนางเข้ารับราชการจากเดิมที่เป็นตำแหน่งตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลให้เปลี่ยนเป็นแบบคัดเลือกเพื่อให้ได้ขุนนางที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นถึงแม้นั้นจะเป็นการที่พระนางสร้างฐานอำนาจไปในตัวแต่ก็ต้องยอมรับด้านการเมืองการปกครองภายใต้การควบคุมของพระนางนั้นย่อมเจริญรุ่งเรืองอย่างเห็นได้ชัดแต่ถึงกระนั้นความรุนแรงของพระนางในเรื่องการทะเยอทะยานนั้นก็เป็นจุดสำคัญที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างฐานอำนาจของพระนางด้วยเช่นกัน พระนางทรงสังหารไม่เลือกหน้า หากผู้ใดเป็นปฏิปักษ์กับพระนางไม่เว้นแม้แต่องค์รัชทายาทหลี่หงซึ่งเป็นโอรสของพระนางเองแต่องค์รัชทายาทนั้นมีความคิดและวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศแตกต่างกับพระนางอย่างสิ้นเชิงและทรงแสดงออกถึงความแตกต่างทางความคิดอย่างสิ้นเชิงนั้นทำให้ไม่นานหลังจากที่ไม่ลงรอยกันองค์รัชทายาทหลี่หงก็ได้สิ้นพระชนม์โดยไม่ทราบสาเหตุพระโอรสองค์รองหลี่เสียนจึงได้ขึ้นเป็นรัชทายาทแทนแต่จะยิ่งใหญ่ได้นั้นก็ต้องมีอุปสรรคเช่นเดียวกันเมื่อครั้งหนึ่งโหรหลวงคนหนึ่งที่พระนางทรงโปรดปรานถูกสังหารพระนางได้สงสัยองค์รัชทายาทเพราะครั้งหนึ่งโหรหลวงคนนี้ได้ทำนายว่าองค์รัชทายาทหลี่เสียนจะไม่ได้เป็นฮ่องเต้พระนางจึงสั่งค้นวังและพบอาวุธมากมายที่องค์ชายหลี่เสียนทรงซ่อนเอาไว้ทำให้พระนางต้องถอดตำแหน่งรัชทายาทของพระองค์และเนรเทศพระองค์ไปอยู่ที่เสฉวนในข้อหากบฏ ราวสามปีต่อมาฮ่องเต้ถังเกาจงได้ทรงพระประชวนหนักจึงมีพระราชองค์การแต่งตั้งองค์ชายหลี่เซี่ยนขึ้นเป็นฮ่องเต้ มีนามว่าฮ่องเต้ถังจงจง หลังจากพระเจ้าถังจงจงขึ้นครองราชย์ได้เพียง 2 เดือน อดีตฮ่องเต้ถังเกาจงก็ได้สิ้นพระชนม์ เดิมทีพระเจ้าถังจงจงนั้นเป็นคนที่หัวอ่อนและไม่เฉลียวฉลาดแต่เมื่อได้มีอำนาจก็เหิมเกริมทะนงในอำนาจของตนเอง อีกทั้งยังมีมเหสีเว่ยอยู่ข้างกาย พระมเหสีเว่ยนั้นเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดอีกทั้งพระนางยังคงมีความทะเยอทะยานในอำนาจเช่นเดียวกับบูเหม่ยเหนียงหรือบูเช็คเทียนแถมพระนางยังคงเหี้ยมโหดเช่นเดียวกัน พระนางสามารถสังหารผู้ที่ขัดขวางทางแสวงอำนาจของพระนางได้เช่นเดียวกับพระนางบูเช็คเทียนมารดาของสวามีพระนางแต่ความเฉลียวฉลาดและประสบการณ์ของพระมเหสีเว่ยก็ยังเทียบกับบูเช็คเทียนไม่ได้ เมื่อครั้งหนึ่งพระมเหสีเว่ยได้ทรงทูลขอให้พระเจ้าถังจงจงแต่งตั้งบิดาตัวเองเป็นหัวหน้าราชเลขาธิการแม้จะมีขุนนางใหญ่หลายคนพยายามคัดค้านแต่ด้วยความที่พระเจ้าถังจงจงทรงทะนงในอำนาจอย่างยิ่งย่อมไม่ฟังคำคัดค้านจากใครทั้งนั้น เมื่อบูเช็คเทียนรู้เรื่องก็ทรงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง พระนางจึงใช้เหตุการณ์ในครั้งนี้ปลดพระเจ้าถังจงจงลงจากตำแหน่งฮ่องเต้ทันที ทั้งๆที่พระเจ้าถังจงจงขึ้นครองราชย์ได้เพียง 2 เดือน หลังจากนั้นพระนางทรงแต่งตั้งโอรสองค์เล็กขึ้นเป็นฮ่องเต้นามพระเจ้าถังรุ่ยจง แต่นั้นเป็นเพียงการแต่งตั้งเพียงในนามเท่านั้นเอง ไม่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการและเมื่อใดที่พระเจ้าถังรุ่ยจงออกว่าราชการพระนางบูเช็คเทียนก็จะคอยออกคำสั่งอยู่หลังม่าน นั้นทำให้พระนางทรงมีอำนาจเหนือฮ่องเต้อีกครั้ง(ภาพจาก imdb.com)ถึงแม้พระนางบูเช็คเทียนจะเหี้ยมโหดและถวิลในอำนาจมากเพียงใดแต่พระองค์ก็ทรงใส่ใจและให้ความสำคัญกับงานราชการบริหารบ้านเมืองอยู่เสมอไม่เคยขาดตกบกพร่อง จนกระทั่งพระนางคิดว่าการที่พระนางอยู่เบื่องหลังพระเจ้าถังรุ่ยจงแบบนี้ใครก็รู้ดังนั้นไม่สู้พระนางขึ้นครองราชย์เองสะเลย เห็นดังนั้นพระนางบูเช็คเทียนจึงปลดพระเจ้าถังรุ่ยจงและได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นฮ่องเต้และเป็นจากราชวงศ์ถังเป็นราชวงศ์โจว แต่การกระทำของพระนางนั้นก็ยังคงได้รับการต่อต้านจากขุนนางคนเก่าๆและขุนนางที่ได้รับการลงโทษจากพระนาง ทำให้เกิดการต่อต้านและก่อกบฏแต่ฝ่ายกบฏที่มีจำนวนน้อยนิดและไร้ฝีมือเมื่อเทียบกับทหารหลวงก็ถูกจัดการอย่างสิ้นซากในเวลาไม่นาน ทำให้พระนางได้กลายเป็นฮ่องเต้หญิงองค์แรกของจีนและคนสุดท้าย รวมไปถึงเป็นฮ่องเต้ที่ขึ้นครองราชย์ในวัยที่สูงที่สุดนั้นคือ 66 ปีอีกด้วยและในช่วงสุดท้ายของพระนางแม้พระนางบูเช็คเทียนจะได้ครองราชย์ด้วยพระองค์เองแล้วความสงบสุขก็มาได้เพียง15 ปี เมื่อพระนางได้ไปหลงใหลนักดนตรีสองพี่น้องแซ่ซาง สองพี่น้องเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีและมีความสามารถในด้านดนตรีค่อนข้างสูง เมื่อสองพี่น้องเป็นที่โปรดปรานอย่างมากของพระนางบูเช็คเทียนก็เที่ยวทำตัวใช้อำนาจบาตรใหญ่ เหล่าขุนนางและอดีตฮ่องเต้คนก่อนอย่างถังจงจงจึงคิดว่าถ้าหากปล่อยไปตำแหน่งฮ่องเต้คนต่อไปคงอยู่ในมือสองพี่น้องนี้แทนที่จะเป็นคนในตระกูลราชวงศ์ถังแน่ เมื่อกองกำลังของพระเจ้าถังจงจงและผู้สนับสนุนมีอำนาจมากพอจึงได้เข้ายึดพระราชวังและทวงบัลลังก์คืนจากพระนางบูเช็คเทียน พระนางในวัย 81 ปีก็ไม่คิดที่จะสู้ หลังจากนั้นพระนางก็ออกมาอาศัยอยู่นอกเมืองและสิ้นพระชนม์ในวัย 82 ปี ปิดฉากตำนานจักรพรรดิหญิงองค์แรกและองค์เดียวชองจีน “บูเช็คเทียน”อัปเดตความรู้ใหม่ ๆ อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !