CV รับทรัพย์ธุรกิจชีวมวล เล็งขยายโรงงานผลิตเพิ่ม
#CV #ทันหุ้น – CV เตรียมเข้าประมูลโรงไฟฟ้าชุมชน - โรงไฟฟ้าจากขยะชุมชน คาดสรุปต้นปี 2566 เดินหน้าก่อสร้าง โรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นขยายฐานรายได้ประจำ ด้านธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ดมองมีโอกาสเติบโตสูง จากธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์แห่งอนาคต เตรียมสร้างโรงงานแห่งใหม่เพิ่ม ส่วนธุรกิจ EPC ทยอยรับรู้รายได้จากแบ็กล็กที่มีอยู่ราว 1,700ล้านบาทต่อเนื่อง
นายธีรภัทร์ เพ็ชรโปรี ผู้รับผิดชอบสูงสุดในสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เปิดเผยว่า เตรียมที่จะรับรู้รายได้จากการขายเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellets) ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ มูลค่าราว 40 กว่าล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด 1 แห่ง อยู่ในประเทศเวียดนาม กำลังผลิต 100,000 ตันต่อปี ซึ่งมีคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมากโดยมีกลุ่มลูกค้าหลักคือโรงไฟฟ้าชีวมวลในเกาหลีและญี่ปุ่น
โดยในปี 2566 บริษัทมีแผนเพิ่มโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ดอีก 1 แห่ง ในประเทศเวียดนาม ทั้งนี้บริษัทมองว่าธุรกิจดังกล่าวจะมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์แห่งอนาคต เเละมีความต้องการอีกมาก โดยปัจจุบันสั่งส่วนรายได้จากธุรกิจนี้อยูที่ 10% เเต่จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นมาเป็น 20% ในปี 2566
ขยายฐานโรงไฟฟ้า
สำหรับการเปิดประมูลโรงไฟฟ้าจากขยะชุมชน ปี 2566 บริษัทเตรียมที่จะยื่นประมูล โดยมองหาโอกาสเข้าไปดำเนินการประมาณ 3-4 แห่ง ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน 3 โครงการ กำลังการผลิตรวม 19.8 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดลำปาง พิจิตรและหนองบัวลำภู คาดว่าจะเลื่อนออกไปประมาณ 90 วัน คาดว่าจะต้นปี 2566
ขณะที่โรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันบริษัทได้ทำการคัดเลือกโลเคชั่นเพื่อให้เหมาะสมต่อการดำเนินธุรกิจ โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงกลางปี 2566 ซึ่งบริษัทยังมุ่งเน้นขยายกำลังการผลิตต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้ประจำให้มีฐานที่ใหญ่ขึ้น จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 24 เมกะวัตต์ และมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าประมาณ 30%
ทยอยรับรู้รายได้ EPC
ทางด้านธุรกิจงาน EPC ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ใหญ่สุดประมาณ 60% บริษัทคาดว่าธุรกิจนี้จะเติบโตได้ต่อเนื่อง เพราะยังมีงานที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 1,700 ล้านบาท จาก 6 เดือนเเรกของปี 2565 เเละยังมีงานที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าในปี 2566 สัดส่วนรายได้อาจจะขยังลดลงมาเหลือปรัมาณ 40-45% เพื่อให้ธุรกิจอื่นๆ มีรายได้ที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น
ซึ่งที่ผ่านมา ธุรกิจงาน EPC ขยายเข้าสู่ธุรกิจก่อสร้างแบบสำเร็จรูป Modular ร่วมทุน 70% กับผู้ที่มีประสบการณ์สูงในธุรกิจนี้ โดยระบบ Modular กำลังเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่ม Commercial และ Residential เนื่องจากเป็นการก่อสร้างแล้วเสร็จมาจากโรงงานและนำมาติดตั้งที่ไซต์งานทำให้งานเสร็จรวดเร็ว ซึ่งธุรกิจนี้ Modular มีมาร์จิ้นที่สูงกว่าธุรกิจ EPC เดิมมากกว่าเท่าตัว
ปีนี้โต 50-60%
สำหรับรายได้รวมปี 2565 บริษัทคาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ เดิมคาดรายได้เติบโตที่ไม่น้อยกว่า 50-60% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,735.87 ล้านบาท เนื่องจากกรับรู้รายได้ของธุรกิจโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellets) ล่าช้าออกไป ขณะเดียวกันบริษัทก็ได้เน้นบริหารจัดการต้นทุนผลิตและการบริหารให้อยู่ในระดับที่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้น และยังคงมีความสนใจและเปิดโอกาสในการศึกษาการลงทุนธุรกิจทั้ง 3 ขา อย่างต่อเนื่อง