รีเซต

กรมชลฯ ผนึก ‘กรมข้าว-พด.’ คิดเครื่องวัดระดับน้ำในนาข้าวหวังทำนาแม่นยำลดการใช้น้ำ 30-50% รองรับชาวนายุคใหม่

กรมชลฯ ผนึก ‘กรมข้าว-พด.’ คิดเครื่องวัดระดับน้ำในนาข้าวหวังทำนาแม่นยำลดการใช้น้ำ 30-50% รองรับชาวนายุคใหม่
ข่าวสด
14 เมษายน 2565 ( 19:17 )
90
กรมชลฯ ผนึก ‘กรมข้าว-พด.’ คิดเครื่องวัดระดับน้ำในนาข้าวหวังทำนาแม่นยำลดการใช้น้ำ 30-50% รองรับชาวนายุคใหม่

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานร่วมกับกรมการข้าว และกรมพัฒนาที่ดิน (พด.) ร่วมวิจัยและพัฒนาเครื่องวัดระดับน้ำในนาข้าว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้น้ำแก่พื้นที่เกษตรของประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ลดปริมาณการสูญเสียน้ำ เบื้องต้นลดการใช้น้ำลง 30-50% เมื่อเทียบกับการทำนาน้ำขังแบบเดิม โดยการศึกษามุ่งเน้นศึกษาและวิจัยในแปลงนาข้าว เพราะทำนาเป็นกิจกรรมการเกษตรที่ใช้น้ำค่อนข้างมาก

 

“สภาพอากาศที่ผันผวนเกิดความไม่แน่นอน ของสภาวะของสภาพอากาศทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง มีผลกระทบต่อการบริหารต้นทุนน้ำของกรมชลประทาน กรมชลประทานจึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการทำนา ช่วยเหลือชาวนา เพื่อลดปริมาณการสูญเสียน้ำในการทำนา ล่าสุดได้เริ่มวิจัยในแปลงนาของกรมการข้าวแล้ว การทำนาด้วยตัวช่วยอุปกรณ์วัดระดับน้ำในนาข้าวเพื่อเปลี่ยนการทำนาแบบดั้งเดิมเป็นการทำนาแบบแม่นยำ ประหยัดน้ำได้ 30-50% จากการทำนาในอดีตใช้น้ำประมาณ 1,200-1,600 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่”

 

นายชวกร ริ้วตระกูลไพบูลย์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาวิศกรรมการป้องกันและบรรเทาภัยอันเกิดจากน้ำ สำนักวิจัยและพัฒนา กรมชลประทาน กล่าวว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ส่งผลให้หลายกิจการปิดตัว การทำงานหลายอย่างนำเรื่องเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เกิดแรงงานคืนถิ่นจำนวนมาก

 

ดังนั้นเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต อีก 1-2 ปี ข้างหน้า หลังจากแรงงานคืนถิ่นคนยุคใหม่ เข้าถึงเทคโนโลยี รวมถึงกระแสความสนใจทำการเกษตรกรไทยมีมากขึ้น กรมชลประทานจึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการวิจัยและพัฒนาตัวช่วยให้การทำนาได้มีประสิทธิภาพขึ้น

 

“ไทยใช้น้ำทำนาในฤดูแล้ง ประมาณ 11,700 ล้านลบ.ม. ส่วนทำนาในฤดูฝน ประมาณ 21,800 ล้านลบ.ม. เนื่องจากฤดูฝนจะมีพื้นที่ปลูกมากกว่าฤดูแล้งเกือบเท่าตัว หากใช้เครื่องมือวัดระดับน้ำในนาข้าว เพื่อทำนารักษาระดับความชื้นของดิน จะสามารถคาดการณ์ได้แม่นยำ ประหยัดน้ำในการทำนาได้จำนวนมาก”

 

ทั้งนี้ การศึกษาวิจัยเชิงบูรณาการของ 3 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการข้าว กรมพัฒนาที่ดินและกรมชลประทาน โดยได้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) คาดว่าอีกไม่เกิน 1 ปีครึ่ง งานวิจัยร่วมครั้งนี้จะสำเร็จและใช้งานในที่นาของชาวนาได้จริง

ส่วนการทำนาปกติ มีอยู่ 2 แบบ ที่ชาวนานิยมทำกัน คือ 1. นาน้ำขังตลอดเวลา (Continuous Flooding) เป็นวิธีการให้น้ำที่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวด้วยระบบชลประทานนิยมปฏิบัติกัน โดยมีการให้น้ำในนาที่ระดับแตกต่างกัน โดยหลังจากที่เริ่มหว่านข้าว จะเริ่มให้น้ำหลังจากหว่านข้าวไปแล้ว 10 วัน ให้น้ำที่ระดับ 5 เซนติเมตร จนข้าวเริ่มแตกกอจึงมีการเพิ่มความสูงของระดับน้ำให้คงที่ที่ 10 เซนติเมตร ตลอดฤดูปลูก จนก่อนการเก็บเกี่ยว ประมาณ 10 วัน มีการระบายน้ำออกจากแปลง

 

และ 2. นาเปียกสลับแห้ง (Alternative Wetting and Drying) เป็นการให้น้ำที่สลับดินเปียกกับดินแห้ง โดยจะเริ่มมีการให้น้ำ หลังจากหว่านข้าวแล้ว 10 วัน โดยให้น้ำที่ระดับ 5 เซนติเมตร จากนั้นรอจนระดับน้ำลงไปใต้ผิวดินประมาณ 15 เซนติเมตร จากนั้นจึงให้น้ำระดับ 5 เซนติเมตร สลับแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงระยะข้าวสร้างรวงอ่อน จึงมีการรักษาระดับน้ำประมาณ 10 เซนติเมตร ทำแบบนี้ตลอดฤดูปลูก จนก่อนการเก็บเกี่ยว ประมาณ 10 วัน จึงมีการระบายน้ำออกจากแปลง

 

ส่วนการทำนาแบบสุดท้ายที่ต้องใช้เครื่องมือวัดระดับน้ำในนาข้าว คือ 3. นารักษาระดับความชื้นของดิน (Saturated Soil) เป็นการให้น้ำแบบไม่มีน้ำท่วมขัง โดยหลังจากที่เริ่มหว่านข้าว จะเริ่มให้น้ำหลังจากหว่านข้าวไปแล้ว 10 วัน ให้น้ำจนดินชุ่ม และจะมีการให้น้ำอีกที เมื่อดินเริ่มแห้ง โดยรักษาความชื้น แบบให้ดินอิ่มตัวเท่านั้น ทำแบบนี้ตลอดฤดูปลูก จนก่อนการเก็บเกี่ยว ประมาณ 10 วัน จึงมีการระบายน้ำออกจากแปลง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง