เราขอเล่าย้อนก่อนว่า จุดเริ่มต้นของความท้าทายนี้ไม่ได้เกิดจากอะไรที่ลึกซึ้งเลยค่ะ แต่เพื่อนพูดขึ้นมาว่า “เฮ้ย ตื่นเช้าชีวิตเปลี่ยนนะ ลองดูสิ!” ด้วยความที่อยากรู้ว่าจริงไหม ชีวิตจะดีขึ้นได้ยังไง ตื่นตี 5 เป็นเวลา 7 วันรวดมันจะไหวเหรอ? คำถามนี้วนในหัวเราหนักมาก แต่สุดท้ายก็เอาวะ ลองดูสักตั้ง! วันแรก: งงมากว่าเราทำอะไรอยู่ ตี 5 ลุกจากเตียงมาด้วยตาคล้ายหมีแพนด้า มือก็ควานหากาแฟอย่างบ้าคลั่ง เราเริ่มต้นวันด้วยการบอกตัวเองว่า “โอเคนะ นี่ไม่ใช่ฝันร้าย แค่ตื่นเช้ากว่าเดิม” แล้วเริ่มต้นวันด้วยกิจกรรมง่าย ๆ อย่างอ่านหนังสือและจัดห้อง ที่สำคัญคือ อารมณ์มันไม่เชื่อง่ายเลยนะ แบบตื่นมาแล้วมึนว่าเรามาทำอะไรตอนที่คนอื่นยังหลับ กลางสัปดาห์: มันดีขึ้นจริงเหรอเนี่ย? วันที่สามถึงสี่เริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะ เรามีเวลาเพิ่มมานิดนึงนะ เช่น ได้ออกไปเดินเล่นตอนเช้าที่แดดกำลังอุ่น ๆ แต่ไม่แผดเผา หรือได้ทำงานที่ค้างไว้ก่อนใครในบ้านจะตื่น แต่พูดตรง ๆ ว่า ช่วงบ่ายเราเริ่มง่วงมากกก แบบต้องพกกาแฟใส่กระเป๋าไว้ตลอด มันเหมือนร่างกายยังปรับตัวไม่ได้ แต่จิตใจกลับเริ่มสดใสขึ้นอย่างแปลก ๆ ปลายสัปดาห์: ความคุ้มค่าที่ไม่คาดคิด วันที่หกถึงเจ็ด เริ่มเข้าจังหวะแล้วค่ะ ตอนเช้ากลายเป็นช่วงเวลาที่เราชอบที่สุด เพราะมันเงียบ สงบ และเหมือนได้มีพื้นที่ให้ความคิด เราได้เริ่มเขียนไดอารี่ วางแผนงาน และมีสมาธิมากขึ้นในการทำสิ่งต่าง ๆ ความรู้สึกของการมี "เวลาให้ตัวเอง" มันดีเกินคาด และที่ไม่คิดว่าจะเกิดคือ เรารู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แล้วชีวิตดีขึ้นจริงไหม? ตอบจากใจเลยว่า ดีขึ้นจริงในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องความสงบในตอนเช้าและความรู้สึกว่ามีเวลาทำสิ่งที่อยากทำมากขึ้น เราได้ลองออกกำลังกายเบา ๆ ทำอาหารเช้าดี ๆ ที่ไม่ใช่มาม่าหรือขนมปังรีบ ๆ ออกจากบ้านได้ทันโดยไม่ต้องวิ่งตาแตก แต่ก็ยอมรับว่ามันไม่ได้ง่ายตลอดนะ เรื่องง่วงนี่คือต้องปรับตัวหนักมาก และต้องเข้านอนเร็ว ซึ่งอาจไม่เหมาะกับทุกคน การตื่นตี 5 กลายเป็นชาเลนจ์ที่เราต้องพิชิตจริง ๆ! ตอนแรกมันฟังดูเหมือนจะเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่แบบหนังสร้างแรงบันดาลใจ แต่พอเอาเข้าจริง ก็มีทั้งด้านดีและด้านที่ทำให้เราคิดว่า “ใครคิดชาเลนจ์นี้ขึ้นมานะ?” ข้อดีก่อนเลย การตื่นตี 5 ทำให้รู้สึกว่ามีเวลาทั้งวันเพิ่มขึ้นอีกเป็นกระบุง! เวลาเงียบ ๆ ตอนเช้ามันมีเสน่ห์แบบบอกไม่ถูก เหมือนได้โลกส่วนตัวเล็ก ๆ เราใช้เวลานี้นั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือ หรือวางแผนชีวิตอย่างที่ตั้งใจมาหลายปี (แต่ไม่เคยทำสำเร็จสักที) และยังได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น อากาศสดชื่น ชีวิตดูจะจัดระบบมากขึ้น แถมวันไหนที่จัดตารางดี ๆ ทุกอย่างก็เสร็จเร็วเหมือนมีพลังพิเศษ แต่… ชีวิตไม่ได้มีแค่ด้านสวยงาม! ด้านมืดของการตื่นตี 5 คือการที่ต้องเข้านอนตั้งแต่ไก่ยังไม่ได้ขึ้นคอน ถ้าคืนไหนมีนัดหรืออยากดูซีรีส์ยาว ๆ ก็คือจบเลย อดนอนแล้วเช้าก็ตื่นมาเป็นซอมบี้ ความง่วงนี่ไม่ปรานีใครจริง ๆ แถมวันหยุดที่คิดว่าจะได้นอนยาว ๆ ก็ต้องปรับตัวใหม่หมด พอตื่นเช้าเกินไปก็กลายเป็นหิวก่อนมื้ออาหารปกติ แล้วต้องหาของกินเสริมอีก โดยรวมแล้ว การตื่นตี 5 เป็นเหมือนสนามท้าทายชีวิต ถ้าทำได้ ก็เหมือนพิชิตภารกิจใหญ่ แต่ถ้าวันไหนพลาดก็แค่คิดว่า “ไว้วันใหม่ค่อยลุกมาสู้ใหม่อีกครั้ง” เพราะบางที ความสำเร็จก็ไม่ใช่การตื่นตี 5 แต่เป็นการใช้ชีวิตแบบที่เรามีความสุขที่สุด! 🌞 พอตื่นเช้ามากๆ ก็มีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นด้วยค่ะ สวยมากๆ ไม่ได้เห็นนานแล้ว แล้วยังมีเวลาออกไปวิ่งด้วยนะ ดีมากเลย บทสรุปจากอ้อม หลังจากลองมา 7 วัน เรามองว่าตื่นตี 5 มันดีสำหรับคนที่อยากจัดการชีวิตให้มีวินัยหรือเพิ่มเวลาช่วงเช้า แต่ไม่ต้องฝืนตัวเองขนาดนั้นก็ได้ ถ้าไลฟ์สไตล์ไม่เอื้อ เราเชื่อว่าชีวิตดีขึ้นไม่จำเป็นต้องเริ่มตี 5 ทุกวัน แค่หาเวลาที่เหมาะกับตัวเองและใช้มันให้คุ้มค่าก็พอ ส่วนเราเหรอ? ตอนนี้คิดว่าอาจจะขอตี 5 แค่ 2-3 วันพอ ที่เหลือขอนอนกอดหมอนยาว ๆ ให้รางวัลตัวเองบ้างนะ! 😆 อ้างอิง ภาพจาก www.pixabay.com / ภาพที่ #1 user congerdesign / ภาพที่ #2 user Vika_Glitter / ภาพที่ #3 user BayzidIslam / ภาพที่ #4 user petig / ภาพหน้าปก user Pexels เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !