ต้องเลี้ยงลูกอย่างไรให้มีพัฒนาการที่ดี?เด็กยังเล็กอยู่เลย ยังไม่รู้เรื่องอะไรหรอก?ทำอย่างไรลูกเราถึงจะเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุข?พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกของตนเองเติบโตขึ้นมาอย่างมีพัฒนาการที่สมวัย มีความสุข ตลอดจนสามารถแก้ปัญหาและดูแลตัวเองได้ แน่นอนว่าหลายๆ ครอบครัวได้รับการปลูกฝังและมีวิธีการเลี้ยงเด็กที่แตกต่างกันไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงเวลาของการฟูมฟักให้เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพนั้นเป็นงานที่น่าอัศจรรย์ใจไม่น้อย มีทั้งความน่าตื่นเต้นและพิศวงในศาสตร์ด้านพัฒนาการเด็กอยู่ในหนังสือหลายเล่มที่พ่อแม่หลายคนเลือกซื้อมาอ่าน มีหนังสือที่น่าสนใจอีกเล่มชื่อว่า "จิตวิทยาเด็ก: ความรู้ฉบับพกพา โดย Usha Goswami ได้สรุปผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับข้องกับพัฒนาการเด็กทั้งในด้านสติปัญญา อารมณ์และสังคมของเด็กในช่วงวัย 0-10 ปี ถูกเรียบเรียงไว้ด้วยภาษาเรียบง่าย อ่านสนุก ซึ่งวันนี้จะมารีวิว 3 ประเด็นที่เราได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้ประเด็นแรกคือ พันธุกรรมไม่ใช่ปัจจัยที่กำหนดความฉลาดหรือพัฒนาการของเด็ก หากแต่สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของครอบครัวต่างหากที่เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญมากที่สุด เด็กที่มีความสุขได้รับการตอบสนองและดูแลจากครอบครัวอย่างถูกวิธี จะมีสภาวะทางอารมณ์ที่มั่นคง ส่งผลต่อทักษะการเข้าสังคม การแก้ปัญหารวมถึงการพัฒนาทางด้านสติปัญญาอย่างเต็มที่ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าเซลล์ระบบประสาทของสมองที่มีจำนวนมากมายมหาศาลถูกแบ่งหน้าที่ของเซลล์ออกเป็น 2 แบบคือเซลล์ที่ถูกกำหนดมาให้มีหน้าที่เฉพาะอย่าง กับเซลล์อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นเหมือนกับเซลล์ว่างเปล่า พร้อมจะถูกเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสิ่งที่ได้เจอบ่อยๆ ดังนั้นประสบการณ์ที่ดำเนินต่อเนื่องเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่าเซลล์จะเชื่อมโยงอย่างไร เด็กจะโตมาเป็นแบบไหนนั่นเองจะเห็นได้ว่า 'ตัวตน' ที่เด็กแต่ละคนพัฒนาขึ้นมาไม่ได้เกิดจากพันธุกรรมแต่เกิดจากสภาพแวดล้อม การเลี้ยงดูที่คนในครอบครัวปฏิบัติกับเด็กเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นหากอยากให้เด็กรู้สึกดีกับตัวเอง ครอบครัวก็ต้องให้เวลา ให้ความรัก ความอบอุ่นเพื่อสร้างประสบการณ์ในเชิงบวกให้กับเซลล์สมองหนังสือเล่มนี้ยังลบล้างความเชื่อเดิมของเราที่ว่า 'ยังเด็กอยู่เลยไม่รู้เรื่องอะไรหรอก' ไขความกระจ่างให้รู้ว่าจริงๆ แล้วเด็กรับรู้และทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิดตั้งแต่ยังอยู่ในท้องของแม่ด้วยซ้ำ โดยสมองของทารกครรภ์ในเดือนที่ 6 สามารถได้ยินและจำเสียงที่คุ้นเคยของแม่ได้แล้ว นั่นหมายความว่าทันทีที่ทารกคลอดออกมา แค่ฟังเสียงทารกสามารถแยกแยะได้ทันทีว่าคนใดคือแม่ของตนเอง โดยนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ความจริงข้อนี้ผ่านจังหวะการดูดนมจากเต้าของทารก หากใครอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติตตามอ่านต่อได้ในหนังสือค่ะส่วนหนึ่งที่ทำให้เข้าใจผิดว่าทารกไม่รู้เรื่องอะไรนั้นเป็นเพราะเราอาจจะคิดว่าเป็นเพียงเด็กจิ๋วที่ทำได้เพียงนอนร้องอ้อแอ้ ยังพูดไม่ได้ แต่อย่าลืมนะคะว่าทารกสามารถฟังและจดจำเสียงของแม่หรือเสียงดนตรีได้ตั้งแต่ก่อนคลอด นั่นหมายความว่าการเรียนรู้ของทารกเริ่มตั้งแต่ตอนนั้นถึงจะยังพูดไม่ได้ มองเห็นไม่ได้มากแต่ทารกเรียนรู้จากการฟัง โดยจากผลการวิจัยพบว่าทารกอายุเพียงแค่ 4 วันก็สามารถแยกภาษาฝรั่งเศษและรัสเซียออกจากกันได้แล้ว หรือทารกวัยหัดพูดสามารถเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ได้อย่างน้อยถึงวันละ 10 คำ (ลองคิดถึงวัยเรียนที่เราต้องท่องศัพท์ดูสิคะ แค่วันละ 5 คำก็เหนื่อยแล้ว) แน่นอนว่าหากใครอยากรู้ว่าแยกอย่างไร ภายในหนังสือมีเนื้อหาที่น่าสนใจมากๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาของทารกค่ะประเด็นสุดท้ายที่อยากจะเล่าคือเรื่องของจินตนาการเด็ก พ่อแม่หลายคนบางครั้งเบื่อหน่ายเวลาที่ลูกมาชวนเล่น ไม่ว่าจะเล่นเป็นคุณหมอ เล่นทำอาหาร หรือรู้สึกตลกกับจินตนาการอันกว้างไกลในบทบาทสมมติที่ลูกตัวน้อยพูดอยู่กับตุ๊กตาและสิ่งของต่างๆ แต่หารู้ไม่ว่าจินตนาการเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่โลกทั้งใบของเค้า แต่เป็นกระบวนการที่สำคัญมากสำหรับการเข้าสังคมในอนาคต เพราะสมองของเด็กกำลังจำลองสถานการณ์ ฝึกการเรียงประโยค เรียนรู้ความต้องการของคนอื่น เช่น ป้อนข้าวตุ๊กตาเพราะรู้ความต้องการของตุ๊กตาว่าหิวข้าว หนังสือเล่มนี้ขนาดเล็ก สะดวกพกพาจริงๆ กับจำนวน 232 หน้าที่ต้องบอกว่าหนังสือ "จิตวิทยาเด็ก: ความรู้ฉบับพกพา" ได้พาเราไปอยู่ในโลกที่น่าทึ่งของพัฒนาการเด็ก ครอบคลุมเนื้อหาพื้นฐานในทุกด้านที่ควรจะรู้ พร้อมตัวอย่างประกอบที่เข้าใจง่าย ทำให้เราได้กลับไปตระหนักถึงพื้นฐานจริงๆ ของการสร้างคนหนึ่งคนให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ ว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่เพราะพันธุกรรมหรืออาหาร แต่คือเวลา ความอดทนและความรักที่เรามอบให้กับเด็กคนหนึ่งอย่างต่อเนื่องPhoto by Steven Libralon on Unsplash