การบล็อกพอร์ต (port blocking) บน Windows 11 หรือระบบปฏิบัติการอื่น ๆ มักทำเพื่อเหตุผลหลายประการ รวมถึง: 1. ความปลอดภัย บล็อกพอร์ตที่ไม่จำเป็นเพื่อป้องกันการโจมตีจากภายนอก เช่น การป้องกันการแฮ็ก การโจมตีด้วย DDoS หรือการใช้ประโยชน์จากพอร์ตที่อาจเป็นช่องโหว่ในระบบ 2. ป้องกันมัลแวร์หรือไวรัส การบล็อกพอร์ตช่วยจำกัดการเชื่อมต่อของมัลแวร์หรือไวรัสที่พยายามใช้พอร์ตในการกระจายตัวหรือโจมตีระบบ 3. ควบคุมการเข้าถึงเครือข่าย เพื่อป้องกันไม่ให้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชันบางตัวเข้าถึงอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายภายในโดยไม่ได้รับอนุญาต 4. การบริหารจัดการเครือข่าย ผู้ดูแลระบบอาจบล็อกพอร์ตบางพอร์ตเพื่อควบคุมการรับส่งข้อมูล หรือป้องกันปัญหาที่เกิดจากการใช้งานพอร์ตที่ไม่จำเป็น การบล็อกพอร์ตจึงช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับระบบและเครือข่าย ทั้งในระดับผู้ใช้งานและในระดับองค์กร ขั้นตอนวิธีทำมีดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ทำการไปที่ปุ่ม search ทำการพิมพ์ค้นหา control panel แล้วทำการ open ขั้นตอนที่ 2 ทำการเลือกหัวข้อ system and security ขั้นตอนที่ 3 ทำการเลือก หัวข้อ windows defender firewall ขั้นตอนที่ 4 ทำการเลือกหัวข้อ advanced settings ขั้นตอนที่ 5 เมื่อเข้ามาที่หน้า advanced settings ทำการเลือกหัวข้อ outbound rule ตลิกขวา new rule ขั้นตอนที่ 6 ทำการเลือก port แล้วทำการกด next ขั้นตอนที่ 7 หน้า proocol ให้ทำการเลือก tcp ตรง remote port ให้ทำการใส่ port ที่ต้องการ block ในภาพก็จะเป็น port 443 แล้วทำการกด next ขั้นตอนที่ 8 หน้า action ให้ทำการเลือก block the connection แล้วทำการกด next ขั้นตอนที่ 9 หน้า profile ให้ทำการเลือกว่าจะ block ทั้งหมดหรือแค่บางตัวนะครับ ขั้นตอนที่ 10 ทำการตั้งชื่อตามใจชอบ แล้วทำการกด finish 10.1 ก็จะได้แบบในรูปภาพ good job ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ช่องทาง YouTube https://youtube.com/@basicitsupport1996?si=6Cy_wvzZuC1jWnzi หรือที่ช่องทาง TikTok https://www.tiktok.com/@nametgt เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !