“ศูนย์กลางการศึกษาทางธรรม ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีผู้สนใจใฝ่เรียนทั้งในและต่างประเทศ เป็นสถาบันที่เปิดโอกาสให้คนรากหญ้าได้พัฒนาตนทางด้านสติปัญญา-จิตใจ รู้จักการนำหลักพุทธศาสตร์มาปรับใช้กับชีวิต พัฒนาตน สังคม ชุมชนและประเทศชาติ” สวัสดีครับวันนี้ผู้เขียนมีเรื่องดีดีมานำเสนอครับ ขึ้นต้นหัวเรื่องซะขนาดนั้น คงเดาไม่อยากว่าผู้เขียนกำลังสื่อถึงอะไร ใช่ครับ วันนี้อยากนำเสนอถึงมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก (สำหรับผู้เขียน) เป็นมหาวิทยาลัยที่ถือว่าเป็นศูนย์รวมแหล่งความรู้ทางพระพุทธศาสนาที่ดี และใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ มหาวิทยาลัยแห่งนี้คือ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณวิทยาลัย” หรือตัวย่อว่า มจร.หลายคนคงสงสัยครับว่าเป็นที่เดียวกับ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” หรือเปล่า ตอบได้ทันทีเลยครับว่า เป็นคนละแห่งกันและที่สำคัญคนมักเข้าใจผิดคือถ้าเป็นมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยที่มีผู้เรียนส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์ที่มาจากหลาย ๆ ประเทศและของประเทศไทยเอง และที่สำคัญนะครับ คำว่า “กรณ” ไม่มีการันต์ตรง ณ นะครับ แต่ถ้าจุฬาลงกรณ์วิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยของเรา ๆ ท่าน ๆ ที่เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นั้นหละครับที่สอน เฉพาะฆารวาสเป็นหลักนะครับ ที่นี้มาดูประวัติและความเป็นมาหน่อยนะครับว่า มจร.แห่งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร มจร.แห่งนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยขึ้น เป็นสถานที่ศึกษาศาสตร์ทางโลกผสมผสานกับศาสตร์ทางธรรม โดยแต่เดิมมีการจัดตั้งที่วัดมหาธาตุ โดยเริ่มแรกมีชื่อว่า “มหาธาตุวิทยาลัย” และเมื่อเวลาผ่านมาจนถึง ณ ปัจจุบันได้ย้ายที่ทำการเรียนการสอนมาตั้งอยู่ที่ ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำหรับปัจจุบันมีคณะที่ทำการเปิดสอนอยู่หลายคณะ หลายสาขาด้วยกันโดยเปิดสอนตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร ระดับปริญญาตรี ปริญญาโทจนถึงปริญญาเอกแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นไอของพระพุทธศาสนาเพราะในแต่ละสาขาแต่ละวิชาจะมีการสอดแทรกหลักพระพุทธศาสนา เนื้อหาทางพระพุทธศาสนาบูรณาการเข้าไปด้วย และคณะที่สำคัญคือคณะพุทธศาสตร์ ที่เปิดสอนสาขาวิชาพระพุทธศาสนาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก (เนื้อหาเน้นวิชาการชั้นสูงทางพระพุทธศาสนา เน้นการนำไปใช้ บูรณาการและพัฒนาสังคมได้อย่างแท้จริง) สำหรับตราสัญลักษณ์ของ มจร.จะมีอยู่สองสัญลักษณ์ด้วยกัน ได้แก่ 1.พระจุลมงกุฎ (พระเกี้ยว) 2.เป็นรูปวงกลมครอบธรรมจักรส่วนกลางเป็นพระเกี้ยวเป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สำหรับต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยได้แก่ ต้นอโศก ปัจจุบันเปิดสอนจำนวน 4 คณะด้วยกันได้แก่ คณะพุทธศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มีวิทยาเขตทั้งหมาด 11 แห่ง (ผู้เขียนจบปริญญาเอก คณะพุทธศาสตร์ สาขา พระพุทธศาสนาจาก มจร.วิทยาเขตเชียงใหม่) และ 1 ห้องเรียน/หน่วยบริการ มีสถาบันสมทบอีก 7 แห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีวิทยาลัยสงฆ์ 17 แห่งทั่วประเทศ การเรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่ยากครับ แต่ก็ไม่ได้ง่ายนะครับ แต่ขอให้มีความตั้งใจจริงและมีความมุ่งมั่นผู้เขียนใช้เวลาเรียนระดับปริญญาโท สาขาวิชาพระพุทธศาสนา 2 ปี เนื้อหาที่เรียนจะเน้นการสร้างองค์ความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนา เน้นการเผื่อแผ่และรับใช้สังคม เน้นการบูรณาการศาสตร์ทางพระพุทธศาสนากับสังคมโลกปัจจุบัน (เน้นฝึกคิด ฝึกทำ ลงมือปฏิบัติจริง) ในระดับปริญญาโทนี้จะไม่ค่อยเครียดกับงานวิจัยสักเท่าไรเพราะจะมีการกำหนดให้นิสิตทำวิจัย (วิทยานิพนธ์) เพียงแค่ 1 ฉบับ (1 เรื่อง) ต่อมาในระดับปริญญาเอกตอนที่ผู้เขียนเรียนขอบอกเครียดมาก ๆ กลัวจะไม่จบเพราะหลักสูตรกำหนดไว้หลักสูตร 3 ปี ขยายได้ไม่เกิน 6 ปี เรียนสนุก แต่ยากตอนทำวิทยานิพนธ์และสารนิพนธ์ เพราะทางหลักสูตรกำหนดให้นิสิตต้องทำสารนิพนธ์จำนวน 3 ฉบับ ( 3 เรื่อง) และวิทยานิพนธ์ 1 ฉบับ (1 เรื่อง) และทุกเรื่องต้องเกี่ยวข้องและบูรณาการกับศาสตร์ทางพระพุทธศาสนากับศาสตร์ของสังคมโลกปัจจุบัน อันนี้ค่อนข้างยากแต่ก็ผ่านมาได้....และที่สำคัญในระดับปริญญาโทกำหนดให้มีการปฏิบัติธรรม (วิปัสสนากรรมฐาน) 30 วัน ปริญญาเอก 40 วัน จึงจะสามารถยื่นเรื่องขอจบได้ (กว่าจะจบก็หลายด่านเหมือนกัน) และต้องจัดทำบทความทางวิชาการเสนอหน่วยงานที่มีมาตรฐานรองรับและมีการเผยแพร่บทความที่นิสิตขอให้ลงเผยแพร่นิสิตบางคนไม่จบเพราะติดวิทยานิพนธ์ บางคนติดไม่ได้ปฏิบัติธรรม นิสิตบางคนติดตรงไม่สามารถทำบทความหรือไม่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ ตรงนี้ก็เป็นเงื่อนไขสำคัญของการขออนุมัติจบการศึกษา ผู้เขียนภูมิใจมากที่มีโอกาสเข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ โดยส่วนตัวผู้เขียนมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นเหมือนแหล่งที่หล่อหลอมให้ผู้เขียน หรือนิสิตทุกคนจบมาทำงานเป็น ตั้งตนอยู่ในสัมมาอาชีพ เป็นคนรู้จักการแบ่งปัน มองโลกด้วยความเป็นกลางเป็นไปตามหลักไตรลักษณ์ และที่สำคัญสามารถนำหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตตน ครอบครัว ชุมชน สังคมได้อย่างแน่นอน......ด้วยจิตคาราวะ เครดิตภาพจาก ผู้เขียน และhttps://www.mcu.ac.th/