ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวขึ้นกว่า 12 จุด ตอบรับเริ่มคิกออฟแผนกระจายฉีดวัคซีนโควิดทั่วประเทศ
ข่าววันนี้ ตลาดหุ้นไทย เปิดการซื้อขายเช้านี้ ดัชนีหุ้นไทย ปรับตัวขึ้นสดใส โดยสูงสุดที่ 1,623.88 จุด เพิ่มขึ้น 12.35 จุด และต่ำสุดที่ 1,618.17 จุด เพิ่มขึ้น 6.64 จุด และเมื่อเวลา SET อยู่ที่ 1,621.58 จุด เพิ่มขึ้น 10.05 จุด (+0.62%) มูลค่าการซื้อขาย โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่หนุนตลาด ทั้งนี้ นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นกว่า 10 จุด เป็นการตอบรับการดีเดย์แผนฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วประเทศวันแรก และคาดว่าจะมีการส่งมอบวัคซีนโควิดเพิ่มเข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้มีความคาดหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจ พร้อมให้แนวรับ 1,610 จุด ส่วนแนวต้าน 1,625-1,630 จุด
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ฯคาดไว้ จึงมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะไม่ได้เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และดาวโจนส์ฟิวเจอร์สเข้านี้ก็ติดลบราว 40 จุด
ฝ่ายวิจัยฯ บล.เอเซียพลัส ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยและเพื่อนบ้านมีโอกาส Outperform ต่อในช่วง 1 – 2 เดือนจากนี้ เฉลี่ย 3 – 5% ต่อเดือนเพราะจากการศึกษาพฤติกรรมของนักลงทุน การเร่งฉีดวัคซีนตามแผนถือเป็นตัวแปรสำคัญที่จะผลักดันให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น อาทิ ในช่วงเดือน มี.ค. มีผู้คนในฝั่งสหรัฐและยุโรปได้รับวัคซีนเร่งขึ้น หนุนการกระจายวัคซีนผ่านสัดส่วน 10% ขึ้นไปถึง 28% ของประชากร ณ สิ้นเดือน เม.ย. ซึ่งเมื่อเทียบเคียงกับตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว หรือ MSCI World (มีสัดส่วนหุ้นสหรัฐ + ยุโรปกว่า 80%) ผลลัพธ์คือ Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป สูงเกิน 30,000 ล้านเหรียญต่อตลาด และสูงเกิน 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับเดือน ก.พ. ที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มกระจายวัคซีน หนุนดัชนี MSCI World ปรับตัวขึ้นแรงถึง 3 – 5%ต่อเดือน ในช่วง 2 เดือนถัดมา โดยกลุ่มหุ้นที่ Outperform โดดเด่น ส่วนใหญ่เป็นหุ้น Domestic และหุ้นเปิดเมืองเป็นหลัก
ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีความสอดคล้องกับพฤติกรรมดังกล่าว คือ ในปลายเดือน พ.ค. ถึงปัจจุบัน เริ่มมีกระแสการเร่งฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (27 พ.ค. – 4 มิ.ย.) หุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง 2.7% โดยกลุ่มหุ้นที่เริ่มกลับมา Outperform ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหุ้น ธีมเปิดเมือง
ช่วงที่มีการเร่งกระจายวัคซีน หุ้นมักจะขึ้นได้เร็ว โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเปิดเมือง หรือกลุ่มที่มี Momentum ปรับตัวขึ้นต่อ โดยฝ่ายวิจัยฯ แนะนำ MINT, CPN, AOT, MAJOR, SPVI และ MCS ส่วน Toppick ในวันนี้เลือก MINT, CPN, AOT
ด้าน บล.คันทรี่ กรุ๊ป วิเคราะห์ว่า จากความคืบหน้าที่กรุงเทพมหานครมีศักยภาพฉีดวัคซีนโควิดได้ถึงวันละ 70,000 คน / วัน ทั้งนี้หากเป็นไปตามเป้าหมายที่ทาง กทม. วางไว้จะใช้ระยะเวลาราว 78 วันที่จะฉีดวัคซีนครอบคลุม 100% ของประชากร กทม. ดังนั้นเชื่อว่าจากนี้มาตรการควบคุมการระบาดโดยเฉพาะพื้นที่ กทม. จะค่อยๆผ่อนคลายหนุนกลุ่ม Domestic โดดเด่นต่อเนื่อง อาทิ ค้าปลีก (BJC CPALL CRC) ร้านอาหาร (CENTEL M MINT) ศูนย์การค้า (CPN) โรงภาพยนตร์ (MAJOR) รถไฟฟ้า (BEM BTS)
กลยุทธ์การลงทุนคงคำแนะนำถือ Domestic Play ต่อเนื่องเพื่อรอรับปัจจัยบวกจากการค่อยๆผ่อนคลายมาตรการรวมถึงเชื่อว่าครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็น การเปิดรับต่างชาติมากขึ้น ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่ได้สะสมให้เน้นตัวที่ยัง Laggard อาทิ
- ธนาคารพาณิชย์ (KBANK)
- ศูนย์การค้า (CPN)
- เครื่องดื่ม (TACC)
- ร้านอาหาร (M)
- สื่อ (PLANB VGI)
- สื่อสาร (ADVANC)
- ค้าปลีก (BJC CPALL CRC)
- สนามบิน (AOT)
KBANK (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 169 บาท) มองราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา 20% จากจุดสูงสุดเดิมสะท้อนปัจจัยลบการระบาดรอบสามรวมถึงการลดน้ำหนักใน MSCI ไปแล้ว ขณะที่หาก Vaccine เริ่มกระจายเชื่อจะหนุนเศรษฐกิจฟื้นตัวรวมถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะรับประโยชน์
CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 59 บาท) เชื่อราคาหุ้นปรับฐานลงมา 20% จากจุดสูงสุดก่อนหน้าสะท้อนปัจจัยลบจากการะบาดรอบสามและผล ประกอบการที่จะอ่อนแอในช่วง 2Q21 ไปแล้ว ขณะที่เชื่อว่าตลาดจะเริ่มหันมาให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวจากนี้หนุนจากการกระจาย Vaccine โดยในช่วงเวลาปกติที่ประเทศไทยควบคุมโควิด-19 ได้ดี CPN ถือเป็นกิจการที่ฟื้นตัวได้ค่อนข้างไวทั้งในเชิงผลประกอบการและผู้ใช้บริการ